คุยกับ ศร-ศวัส มลสุวรรณ ในวันครบรอบ 14 ปี ของการเป็นนักเขียนในนาม ‘คิดมาก’ จึงได้รู้ว่าชีวิตจะเศร้าหรือสุข เพียงเริ่มต้นที่ใจจะให้ความสำคัญ

6 Min
609 Views
17 Oct 2024

ในวันที่เหนื่อยล้ากับเรื่องราวที่ถาโถม ท้อแท้กับอุปสรรคที่พบเจอ หรือมีคำถามมากมายเกี่ยวกับชีวิตผุดขึ้นในใจ การได้อ่านความเรียงแสนสั้น คำคมแสนหวาน บ้างก็ย้ำเตือนถึงความจริงของชีวิต เพื่อชุบชูจิตใจให้ผ่านวันคืนแย่ๆ ไปได้ แค่นี้ก็ทำให้หัวใจของใครหลายคนที่กำลังเหี่ยวเฉากลับมาเบิกบานได้ 

แน่นอน ถ้าให้นึกถึงนักเขียนสายบทกวีหรือเพจคำคมแนว ‘ฮีลใจ’ อย่างที่ผู้เขียนได้เกริ่นไป หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นนักเขียนที่ชื่อ ‘คิดมาก’ หรือ ‘ศร-ศวัส มลสุวรรณ’ ที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์ม X จำนวนเกือบ 1.6 ล้านคน ทั้งยังมีผลงานหนังสือออกมาแล้วถึง 34 เล่ม เช่น (รวม 2 เล่มล่าสุด)

‘โตขึ้นจึงได้รู้ว่า…’ 

‘แล้วเราจะเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น’ 

‘แค่โอบกอดตัวเองให้เป็น’

‘ถึงอย่างนั้นความรักก็ยังงดงาม’

จากวันที่ตั้งใจแค่จะเขียนความรู้สึกของตัวเองลงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X (ชื่อเดิม Twitter) ของตัวเอง เพื่อหล่อเลี้ยงและเยียวยาหัวใจตัวเองจากการเรียนหนัก จวบจนวันนี้ก็ผ่านมาถึง 14 ปีแล้วที่ ‘คิดมาก’ กลายเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นที่ปรึกษาคอยให้กำลังใจนักอ่านหลายคน 

ผู้เขียนจึงอยากชวนทุกคนมาดูกันว่าตลอดเส้นทางการเป็นนักเขียนสิบกว่าปีที่ผ่านมา วันนี้เขาได้ตกตะกอนความคิดชีวิตในด้านใดมาแล้วบ้าง 

ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่านักอ่านไม่น้อยเลยที่เติบโตมากับงานเขียนของคุณอยากทราบว่า ‘คิดมาก’ มีการเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ในแง่ของการเติบโตต้องบอกว่าผมไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองมาก่อน คิดมาตลอดว่าเล่ม 1-32 ของเราก็ไม่น่าจะต่างกันมากนัก แต่มีฟีดแบ็กจากเพื่อนที่เป็นนักอ่าน เขาบอกว่าไม่ต้องเปรียบเทียบจากเล่มล่าสุดย้อนไปถึงเล่มแรกหรอก แม้กระทั่งเล่มปัจจุบันกับเล่มเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา ภาษาที่ใช้ เนื้อหาที่เขียนก็แตกต่างกันแล้ว 

ผมเลยย้อนกลับไปดู ก็พบว่าเปลี่ยนไปจริงๆ ตามช่วงอายุและเกิดจากว่าช่วงนั้นเราอ่านอะไร อินเรื่องอะไร แล้วมันก็ตกผลึกออกมาเป็นงานเขียนของเรา

 ซึ่งช่วงแรกที่เริ่มเขียนเป็นช่วงวัยยี่สิบต้นๆ ผมมักจะเขียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ความรัก เสียเยอะ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรื่องการเดินทางของชีวิตและความเศร้า ก่อนจะมาเขียนถึงความสุขและการรักตัวเองในช่วงปีหลังๆ จนปัจจุบันส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่อง Manifest 

จำได้ว่าคุณเคยพูดถึงกฎการเขียนของตัวเองไว้ “จะไม่เขียนเรื่องที่ไม่อิน” แสดงว่าช่วงนี้เราจะได้อ่านเรื่อง Manifest อย่างเดียวเลยหรือเปล่า

เรียกว่ามีบางเรื่องที่ผมเคยรู้สึกในวัยหนึ่ง แต่วัยนี้ไม่รู้สึกกับมันเท่าเมื่อก่อนแล้ว อย่างถ้าให้เขียนเรื่องความสัมพันธ์หรือความเศร้าอย่างเดียวเลย ณ วันนี้ คิดว่าน่าจะเป็นความยากลำบาก เพราะไม่ได้อินกับมันเท่าเดิม

หมายความว่าไม่จมดิ่ง ไม่แสวงหาคำตอบ ไม่ค้นคว้าลึกลงไปกับมันเท่าไหร่แล้ว ผมอยู่กับมันได้แล้วก็ปล่อยมันเป็น เลยทำให้ไม่ได้โฟกัสกับมันเท่าเดิม เพราะฉะนั้นผมเลยรู้สึกว่าบางทีการรับมือกับความเศร้ามันมีแง่มุมอื่น 

คือไม่ต้องไปดีลกับมันอย่างจริงจังเหมือนเมื่อก่อน แต่ใช้กฎดึงดูดเรื่องการ Manifest มาช่วย สุดท้ายแล้วความเศร้าจะเลือนไปโดยที่เราไม่ต้องไปจ้องตากับมันโดยตรง 

แล้วยังคิดว่าความเศร้ามันจริงกว่าความสุขอยู่หรือเปล่า

ถ้าถามวันนี้ ความเศร้าจริงไหม ความเศร้ายังจริงอยู่ แล้วความสุขจริงไหม ผมคิดว่าความสุขก็จริงเหมือนกัน เพียงแต่ว่าความสุขมันไม่สัมผัสใจเราโดยธรรมชาติ 

สมมติเวลามีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตเรา บางทีอาจจะเป็นการที่เราโดนเจ้านายว่าสัก 10 นาที เราเป็นทุกข์ไปได้ทั้งสัปดาห์ทั้งเดือนเลยนะ แต่เรื่องดีๆ ที่เรารอคอยให้มันเกิดขึ้น เรารู้สึกว่าชีวิตฉันมีความสุขแน่นอน แล้วพอมันเกิดขึ้นจริงๆ อย่างมากเราเฉลิมฉลองกับมันแค่วันสองวัน แล้วเราก็กลับมาสู่ปกติธรรมดาอีกแล้ว 

ดังนั้น เมื่อความสุขไม่สัมผัสใจเราเท่าความเศร้า จึงต้องเอาใจไปจดจ่อกับความสุขให้มากกว่าความเศร้า

ทำไมหัวใจเราถึงสัมผัสความเศร้ามากกว่าความสุข

เพราะว่าความเศร้าเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้น ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าความเศร้าก็มีหน้าที่ของมัน นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้ในวันที่อยู่กับความเศร้า 

ความเศร้าไม่ใช่สิ่งที่เราต้องปฏิเสธ แต่เราต้องเข้าใจว่าฟังก์ชันของความเศร้ามันเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เพื่ออะไร เมื่อเราเข้าใจก็จะไม่ทุรนทุราย เราก็จะอยู่กับมันแล้วใช้เป็นเชื้อเพลิงในการจัดการชีวิตของเราได้

ในวันที่คุณโฟกัสความสุขมากขึ้น ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

สมัยก่อนผมรู้สึกว่าความสุขเป็นสิ่งที่เราต้องแสวงหา แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าความสุขเป็นสิ่งที่ไม่ต้องแสวงหา แต่เป็นสิ่งที่เราต้องสังเกตให้เห็น 

อย่างเช้านี้ได้ตื่นมาดื่มกาแฟ ได้ฟังเพลงที่ชอบ ได้กินอาหารอร่อยก็มีความสุขแล้ว แต่เพราะมันปกติสามัญและง่ายดายเหลือเกิน เราถึงมักไม่ค่อยสังเกตเห็นความสุขกันเท่าไหร่ แต่ถ้าเราเข้าใจว่านั่นแหละคือความสุข และไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ เป็นเพียงเรื่องที่ทำให้พึงพอใจจนยิ้มได้ก็พอแล้ว

ผมเชื่อนะ แม้แต่วันที่คนบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่แย่ แต่วันนั้นต้องมีเหตุการณ์สักเหตุการณ์ที่ทำให้เรายิ้มได้ เพียงแต่เราเอาเหตุการณ์ที่แย่มาตัดสินแล้วว่านั่นคือ Bad day ซึ่งการที่เราสังเกตเห็นความสุขในชีวิตได้มากขึ้นแปลว่าเราต้องมี grattitude ต้องเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีให้ได้ก่อน

ในขณะที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน มีวันไหนที่รู้สึกเหนื่อยหรือหมดไฟบ้างไหม

อย่างมากก็แค่วันเดียวนะ เพราะผมมีกฎของตัวเองอีกข้อหนึ่ง คือผมเป็นคนที่เชื่อใน ความสม่ำเสมอ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องโพสต์คอนเทนต์ให้ได้ทุกวัน จะมีแค่ช่วงที่เข้าโรงพยาบาลที่อาจจะหายไปบ้าง

แต่ตราบใดที่ร่างกายไหว เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ยังไงก็ต้องเขียน เพราะว่าการสร้างความสม่ำเสมอจะนำเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีเสมอเช่นกัน และการที่คิดมากมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะการทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพราะโฟกัสเป้าหมาย 

เคยมีคนถามผมว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร ผมบอกเลยว่าทำอะไรก็ได้ครับแต่ขอให้ทำทุกวัน แม้กระทั่งในส่วนของการ Manifest ถ้าเรามองอย่างเผินๆ มันอาจเป็นเรื่องของการตั้งเป้าหมายไว้เป็นหลักเหมือนกันนะ 

แต่นัยจริงๆ ของมันกำลังบอกเราว่าจะไปถึงเป้าหมายให้ได้นั้น เราต้องปรับพฤติกรรมและเปลี่ยนนิสัย แล้วทำมันอย่างสม่ำเสมอให้ได้ก่อน ไม่ใช่ให้ความสำคัญเพียงแค่เป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วไม่ทำอะไรเลย  

ถ้าอย่างนั้นช่วยอธิบายหลัก Manifest ในมุมมองของคุณให้ฟังหน่อย

แนวคิดของการ Manifest ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราอยากเป็นอะไร แต่เราอยากเป็นเราในเวอร์ชันไหนมากกว่า 

สมมติผมบอกว่ากำลังลดน้ำหนัก สิ่งที่จะทำการ Manifest คือ หนึ่ง นึกภาพเลยครับว่าอยากเป็นตัวเองตอนน้ำหนักเท่าไหร่ สอง เมื่อเราอยากเป็นตัวเองในน้ำหนักนั้น ตอนนั้นเรากินอะไร ตอนนั้นเรามีกิจวัตรชีวิตยังไง ตอนนั้นเราเป็นคนยังไง แล้วปรับพฤติกรรมตัวเองให้เป็นคนอย่างนั้น 

นี่คือหลักการ Manifest ในมุมของผม คือการโฟกัสว่าเราอยากเป็นคนแบบไหน แล้วปรับพฤติกรรมให้เป็นคนแบบนั้น จากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้น และผมเชื่อว่าทุกคนสามารถนำเรื่องนี้ไปปรับใช้ได้กับทุกอย่าง

แล้วสำหรับหนังสือเล่มนี้ ‘ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว’ จำได้ว่าเคยตีพิมพ์ไปแล้วครั้งหนึ่ง เพราะอะไรจึงเลือกเล่มนี้มาตีพิมพ์อีกครั้ง

เพราะเป็นหนังสือเล่มแรกของคิดมาก แต่ผมเอามาเขียนใหม่ เนื้อหาในเล่มจะถูกปรับปรุงใหม่ในมุมมองของคิดมาก ณ ปัจจุบันด้วย หนังสือเล่มนี้จึงมีทั้งรอยคิดเมื่อ 14 ปีที่แล้ว และรอยคิด ณ ปัจจุบัน จึงเป็นหนังสือที่อ่านแล้วเหมาะกับทั้งคนที่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ ความเศร้า ความสุข รวมถึงเรื่องของการ Manifest 

ที่สำคัญคือเหมาะกับคนที่อยากจะรู้ว่าเมื่อ 14 ปีที่ผ่านมา คิดมากคิดยังไง แล้ว ณ วันนี้คิดมากคิดยังไง เล่มนี้จึงจะได้เห็นการเดินทางของคิดมากชัดที่สุด

ทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องผ่านดวงดาว

ช่วงวัยรุ่น วันที่ผมเศร้าก็มักมองไปบนฟ้าแล้วรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดนะ แต่ต่อให้มืดแค่ไหน ความจริงฟ้ายิ่งมืดยิ่งเห็นดาวชัด เปรียบเหมือนชีวิตคนเราที่บางครั้งอาจคิดว่ายิ่งมืดมน ยิ่งหมดหนทาง ก็ยิ่งไม่เห็นโอกาส แต่ความจริงมันยังมีความหวังอยู่ เรายังสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ และทุกจุดสิ้นสุดถือเป็นการเริ่มต้นใหม่เสมอ เลยอยากอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ผ่านท้องฟ้าและดวงดาว

ในโอกาสครบรอบ 14 ปี มีอะไรที่อยากพูดกับ ‘คิดมาก’ ในอดีตไหม

เก่งมากๆ เลยครับ 

ผมจะชมตัวเอง เพราะถามว่าย้อนกลับไปเป็นตัวเองเมื่อ 14 ปีที่แล้วคิดว่าจะทำแบบวันนี้ได้ไหม ไม่แน่ใจเลย ผมก็แค่ทำมันไป เคยคิดเล่นๆ นะ สมมติว่าวันหนึ่งแอคเคาต์ถูกระเบิดหรือถูกแฮ็ก คนติดตามเหลือศูนย์คน จะกลับมาทำให้เป็นได้เท่านี้ไหมก็คิดว่าอาจจะไม่ได้ อาจจะไม่มีพลัง หรืออาจจะไม่ได้อยากทำ 

เพราะฉะนั้นทำมาได้ถึงขนาดนี้ก็อยากจะชมตัวเองว่าเก่งมากๆ แล้วก็ทุกคนด้วยนะ การที่เราเป็นเราได้ในทุกวันนี้ มันแสดงว่าเราต้องทำอะไรสำเร็จมามากมายเหลือเกิน เราผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน ก็อยากให้ทุกคนชมตัวเองว่าเก่งมากในทุกวันๆ ด้วยเหมือนกัน 

พบกับ ‘คิดมาก’ พร้อมผลงานทุกเล่มของเขา รวมถึงเล่มใหม่ล่าสุดจาก ‘คิดมาก x คิ้วต่ำ’ หนังสือ ‘ทุกวันคือของขวัญจากตัวเอง’ ที่จะทำให้เรารักและชื่นชมตัวเองมากขึ้นในทุกๆ วัน

ได้ที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 29 ตั้งแต่วันนี้ – 20 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

หรือสามารถสั่งซื้อเพื่อรับของพรีเมี่ยมได้ทาง amarinbooks.com และ naiin.com ตั้งแต่วันที่ 10-20 ต.ค.67

ออนไลน์ได้ที่

Amarinbooks : https://bit.ly/3Y6Ypvx

Shopee : https://bit.ly/4h2RGvb

Lazada : https://bit.ly/3YnY6NZ