6 Min

คุยเบื้องหลัง ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ กับบทเรียนที่ว่าเรื่องเล่า Local ก็พาหนังไทยไปไกลถึงเทศกาลหนังโลกได้ กับ ‘นุชี่-อนุชา บุญยวรรธนะ’ และ ‘น้ำหวาน-ชวนา กีรติยุตอมรกุล’

6 Min
74 Views
31 Oct 2025

วงการภาพยนตร์ไทยในตอนนี้กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และไม่ใช่เป็นแค่เพียงสื่อบันเทิงอีกต่อไป แต่ยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ทรงพลังและสามารถสร้างบทสนทนาทางสังคม พร้อมกับขับเคลื่อนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตไปพร้อมๆ กันได้ อย่างที่เราได้เห็นกันในช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้ที่ผลงานหนังไทยหลายเรื่องได้มีชื่อในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ คว้ารางวัล และขยายฐานผู้ชมไปไกลทั่วโลก

‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ผลงานจาก BrandThink Cinema สตูดิโอเล็กๆ ที่เชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ และมองเห็นพลังอันยิ่งใหญ่ในเรื่องเล่าอย่าง ‘ภาพยนตร์’

นั่นจึงทำให้ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ประสบความสำเร็จในแง่ของการพาเรื่องเล่าเล็กๆ จากท้องถิ่นสู่สายตาคนทั่วโลก จากการเข้าฉายใน 17 ประเทศ และการได้รับเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานนาชาติปูซาน และ SITGES ประเทศสเปน

เราอยากพาทุกคนมาพูดคุยถึงเบื้องหลังความสำเร็จนี้ กับ ‘นุชี่-อนุชา บุญยวรรธนะ’ ในฐานะโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ และยังเป็นอดีตนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ที่จะมาแชร์เบื้องหลังของการพาหนังไทยไปสู่สายตาชาวโลก รวมทั้งพูดคุยถึงทิศทางของอุตสาหกรรมหนังไทยในเวทีโลกในอนาคต

ร่วมกับ ‘น้ำหวาน-ชวนา กีรติยุตอมรกุล’ Chief Strategy and Services Officer จาก BrandThink ที่จะมาเปิดมุมมองการเชื่อมโยงคุณค่าระหว่าง ‘ภาพยนตร์’ และ ‘แบรนด์’ ในฐานะสื่อที่ทรงพลัง

จุดแข็งของภาพยนตร์ไทยในเวทีโลก

นุชี่เริ่มจากการให้ความเห็นว่าหนังสยองขวัญของไทยนั้น เป็นแนวหนังที่แข็งแกร่งและเป็นที่น่าจับตามองในสายตาโลกอยู่แล้ว เนื่องจากภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่ผูกพันกับความเชื่อและเรื่องราวลี้ลับ อย่างไรก็ตาม การที่ภาพยนตร์จะได้ไปฉายในเทศกาลหนังระดับนานาชาติ จำเป็นต้องมีความแปลกใหม่และแสดงให้เห็นถึงทิศทางใหม่ๆ ของวงการ 

“หนังสยองขวัญของไทยมีความแข็งแรงในสายตาของต่างประเทศอยู่แล้ว เวลาต่างประเทศมองเข้ามาในประเทศไทย เขาจะรู้สึกว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่มีความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ มีหนังสยองขวัญของไทยก่อนหน้านี้หลายเรื่องที่สร้างชื่อเสียงต่อเนื่องกันมาไม่เคยขาด มีเข้าฉายในต่างประเทศแล้วก็ได้ผลตอบรับที่ดีมาตลอด”

แต่สำหรับ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ นั้น นุชี่วิเคราะห์ว่า ‘การนำเสนอทิศทางใหม่’ และ ‘คุณค่าเชิงสังคม’ อาจเป็นสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติระดับ A List สนใจ

“เวลาพูดถึงเทศกาลภาพยนตร์มันคือพื้นที่สำหรับการฉายหนังที่เป็น ‘ผู้นำ’ ของภาพยนตร์แนวนั้นๆ ผู้นำในที่นี้ก็คือ ความแปลกใหม่ ซึ่ง ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ เป็นหนึ่งในหนังที่นำเสนอทิศทางหนังสยองขวัญไทยในแนวใหม่ มันมีองค์ประกอบ (element) ความสยองขวัญที่แตกต่างไปจากหนังสยองขวัญที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังไทยเท่าไหร่”

ใครที่ได้ชมกันไปแล้วคงจะเห็นว่า ฮาลาบาลาฯ แตกต่างจากหนังสยองขวัญไทยเรื่องอื่นๆ ตรงที่ ‘การนำเสนอความสยองขวัญ’ นั้น เน้นไปที่สัตว์ประหลาดและปีศาจ เป็นหลัก แทนที่จะเป็นเรื่องผีและวิญญาณแบบดั้งเดิม 

ประกอบกับการเล่าเรื่องที่จงใจให้มีความคลุมเครือ โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่เปิดให้ผู้ชมสามารถตีความได้หลากหลาย ซึ่งนุชี่ชี้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการให้ผู้ชมเห็นถึงจิตใจของตัวละคร และนำไปสู่บทสนทนาที่แลกเปลี่ยนกันได้ และความแปลกใหม่เหล่านี้เองที่กลายเป็นรสชาติใหม่ของหนังสยองขวัญไทย ซึ่งนุชี่ให้ความเห็นว่ามันอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและทำให้เทศกาลเหล่านั้นเลือก ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ไปเข้าฉาย

นอกจากนี้ จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา นุชี่เห็นว่าอีกสิ่งสำคัญที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติส่วนใหญ่มองหา คือหนังที่ให้คุณค่า ‘เชิงสังคม’ ซึ่งนอกเหนือจากความสยองขวัญและความน่ากลัวที่ตรึงผู้คนได้อยู่หมัดแล้ว ฮาลาบาลายังสอดแทรกประเด็นเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) เอาไว้ด้วย ถือเป็นประเด็นสากลที่เชื่อมโยงกับผู้ชมทั่วโลกได้ และทำให้หนังมีมิติทางศิลปะและสังคมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“การกำจัดชาวบาเตาะ เป็นการตั้งคำถามกับผู้ชมเรื่องการใช้ความรุนแรงในการอยู่ร่วมกันบนโลก ถ้าเราไม่เห็นด้วยเราต้องทำยังไง ต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเลยไหม ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นการตั้งคำถามมากกว่าชี้ชัดว่าถูกหรือผิด แต่ประเด็นนี้มันเป็นสากลที่จะทำให้คนดูเชื่อมโยงกับหนังได้ และทำให้หนังมีคุณค่าในเชิงการวิพากษ์วิจารณ์สังคมด้วย”

บทบาทผู้อำนวยการสร้างและการวางกลยุทธ์สู่ตลาดโลก

เมื่อถามถึงวิธีการทำงานในโปรเจกต์นี้ นุชี่เล่าว่าในฐานะผู้อำนวยการสร้าง (Producer) บทบาทหลักของตนเองคือการผลักดันจุดแข็งของผู้กำกับซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่แล้วด้านการออกแบบ (Design) จากประสบการณ์การทำมังงะสยองขวัญมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตัวสัตว์ประหลาด บรรยากาศ หรือองค์ประกอบต่างๆ ความสามารถนี้ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณเอกสิทธิ์ที่ไม่เหมือนใครทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์นี้เองที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมองหา

ประสบการณ์การเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ

หลายคนอาจเข้าใจว่าการได้ไปเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาตินั้นคือการเฉลิมฉลองความสำเร็จ แต่นุชี่มองว่ามันไม่ใช่การเฉลิมฉลองเสียทีเดียว แต่ถือเป็นการ ‘ทำงาน’ ที่ช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับทีมงาน 

ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับที่ได้รับฟีดแบ็กโดยตรงจากผู้ชม ซึ่งเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งในการนำกลับมาพัฒนาผลงาน ฝั่งนักแสดงก็ได้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ช่วยเพิ่มมูลค่าและขยายฐานแฟนคลับต่างประเทศ ขณะที่โปรดิวเซอร์ก็จะได้สร้างเครือข่าย (Connection) ที่แข็งแกร่ง เพื่อต่อยอดความร่วมมือในอนาคต รวมถึงได้สำรวจทิศทางของวงการภาพยนตร์โลกว่ากำลังมุ่งไปทางไหน และใครที่น่าสนใจร่วมงานด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อนำกลับมาสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมหนังไทยให้เป็นสากลมากยิ่งขึ้น

“การไปเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมันได้ประโยชน์ในแง่การพัฒนาตัวงานโดยตรง ผู้กำกับที่เคยนำหนังไปฉายในเทศกาลเหล่านี้ โดยมากก็จะมีความคิดมุมมองในการนำเสนอภาพยนตร์ที่เป็นสากลมากขึ้น เพื่อผู้ชมที่ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่มองไปถึงผู้ชมต่างชาติด้วย”

Hyperlocal คือรากที่ทำให้ Global?

อย่างที่ได้เกริ่นไปในตอนต้นว่า BrandThink เชื่อในพลังของ Creative Change และเชื่อว่าเรื่องราวที่ทรงพลังที่สุดต้องมีรากฐานจากความจริงแท้ (Authenticity) และหยั่งลึกในบริบททางวัฒนธรรมของตนเอง 

‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ คือตัวอย่างของหนังที่หยิบเอาเรื่องเล่า ความเชื่อ ของคนในท้องถิ่นมาใส่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการจนสามารถเชื่อมโยงผู้คนในวงกว้าง เกิดเป็นภาพยนตร์สยองขวัญรสชาติใหม่ที่มีมิติทางศิลปะและสังคมลึกซึ้ง จนถูกนำไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติระดับโลกได้

“BrandThink เราเชื่อใน Culture เราเชื่อใน Community และเราเชื่อในผู้คน สามก้อนนี้มันเหมือนเป็น DNA ของ BrandThink ถ้าเราจะทำหนัง เราจะต้องนำสิ่งต่างๆ ที่อยู่ใน DNA เรา ไปเชื่อมกับหนังของเราเช่นกัน

“ฉะนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่เราจะฉายภาพเรื่องของผู้คน หรือใน Community ในที่นั้นๆ เพราะพี่ว่ามันเป็นการสร้างจุดต่าง (Differentiation Point) ของคนทำหนัง”

ในขณะเดียวกัน จุดขายของหนังฮาลาบาลาฯ ที่มีความเป็น Mysterious และ Thriller ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดโลกอยู่แล้ว เมื่อบวกกับความ ‘Hyperlocal’ ที่เข้มข้น ที่เล่าถึงตำนานป่ากินคนนี้ น้ำหวานจึงมองว่าสิ่งนี้คือ Cultural Interest ที่ดึงดูดความสนใจของชาวต่างชาติได้อย่างลงตัว

Hyperlocal Content สู่ Hyperlocal Marketing

ในเชิงกลยุทธ์ร่วมกับแบรนด์ น้ำหวานชี้ว่าเทรนด์การตลาดในตอนนี้คือ ‘Inclusinity’ คือแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับการยอมรับและผสานความแตกต่างของทุกคนในสังคม 

‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ คือการขยายเรื่องเล่าในพื้นที่ภาคใต้ ขยายมุมมองของกลุ่มคนที่แตกต่างอย่าง ‘ชนเผ่าบาเตาะ’ ดังนั้นเมื่อตัวหนังมีความเป็น Hyperlocal Content แบรนด์ที่จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตร ก็เท่ากับว่าแบรนด์ได้ใช้กลยุทธ์ ‘Hyperlocal Marketing’ โดยอัตโนมัติ ที่จะได้ประโยชน์จากการสร้างความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและจริงใจกับผู้คนในพื้นที่

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตัวหนังได้เดินทางสู่เวทีโลก ก็ยิ่งเป็นการเปิดประตูให้แบรนด์สามารถขยายฐาน (Scale) ไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ในเวลาเดียวกัน

“Hyperlocal ก็คือ Inclusivity มันคือการทลายกรอบกลุ่มเป้าหมาย (Target) ของแบรนด์ ให้เข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น และเมื่อมันสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องความเท่าเทียม (Equality) ที่ทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงสิ่งดีๆ พี่เชื่อว่าสิ่งที่เราทำคือสะพานที่แข็งแรง ที่เชื่อมแบรนด์เข้ากับความเป็น Local ได้อย่างจริงใจ”

มุมมองต่อการเติบโตของวงการหนังไทยในเวทีโลก

เมื่อพูดถึงทิศทางในอนาคตของหนังไทยในเวทีโลก ที่ตอนนี้เราจะเริ่มเห็นความก้าวหน้าบ้างแล้วจากการที่หนังไทยเริ่มถูกจับตามองในระดับนานาชาติมากขึ้น ทั้งการได้รับรางวัลหรือการได้เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ 

นุชี่มองว่า ปัจจัยสำคัญคือการได้รับการสนับสนุนจาก THACCA โดยรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่ได้จัดสรรงบประมาณให้ทีมงานสามารถเดินทางไปร่วมเทศกาลได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ในงาน เช่น การตั้งบูธ การซื้อสื่อโฆษณา ซึ่งในอดีตเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะมีค่าใช้จ่ายสูง

ทั้งนี้ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ก็เป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับการสนับสนุนจาก THACCA ทำให้ทีมงาน ทั้งผู้กำกับ นักแสดง และโปรดิวเซอร์ สามารถเดินทางไปร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานได้

ขณะเดียวกัน การกลับมาของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร (Bangkok International Film Festival) ในรอบ 16 ปี ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดี ที่จะช่วยขับเคลื่อนวงการทั้งระบบ ไม่เพียงแต่สร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ แต่ยังสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับสุนทรียศาสตร์การชมภาพยนตร์ของคนไทย ให้ได้สัมผัสกับผลงานคุณภาพจากนานาชาติด้วย

‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ใช้เรื่องเล่าจากท้องถิ่น (Hyperlocal) เชื่อมโยงกับผู้ชมในระดับสากลได้ และนี่คือหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของวงการภาพยนตร์ไทยบนเวทีโลก