ในโลกการกลั่นแกล้งผ่านเทคโนโลยีไม่ได้มีแค่คนถูกแกล้ง หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่สุดคือคนที่ชื่นชอบการกลั่นแกล้งคนอื่นไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม พวกเขาคิดอะไร ทำไมชอบการ Cyberbullying คนอื่น
งานวิจัยสถานการณ์การระรานทางออนไลน์ในประเทศไทย โดยสมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กเยาวชน (สสดย.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมผู้คนที่ถูกกลั่นแกล้ง และคนกลั่นแกล้งว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ผ่านการสำรวจด้วยแบบฟอร์มออนไลน์กับเด็กมัธยมทั่วทุกภูมิภาคจำนวน 3,240 คน ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2020
การกลั่นแกล้งทางออนไลน์มีหลากหลายรูปแบบ โดยส่วนใหญ่ถึง 71.47% เป็นการใช้ถ้อยคำด่าทอ กลั่นแกล้ง 36.36% เผยแพร่ข้อมูลเท็จ 22.68% แบนไม่ให้เข้ากลุ่ม และ 17% เอาความลับมาเผยแพร่
ปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ได้จากการสำรวจพบว่าเหตุผลในการกลั่นแกล้งคนอื่น มีดังนี้
45.53% ไม่ชอบหน้า
43.79% พวกเขาสมควรถูกระราน
34.64% เพราะโดนรังแกมาก่อน
29.85% เห็นเป็นเรื่องสนุก
เราจะสังเกตว่ากว่า 1 ใน 3 ของคนที่กลั่นแกล้งคนอื่นเริ่มต้นจากประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้ง และมีความรู้สึกว่าต้องแก้แค้นเอาคืน จึงเกิดเป็นวงจรการบูลลี่ที่ไม่มีวันจบ
แต่หลังจากกลั่นแกล้งคนอื่นแล้วมากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 57.73% ระบุว่ารู้สึกผิดในใจ 33.55% รู้สึกสะใจ และ 32.05% รู้สึกเท่ในสายตาเพื่อน แสดงให้เป็นถึงค่านิยมว่าคนที่สามารถรังแกคนอื่นได้คือคนที่แข็งแกร่งและมีตัวตนในสังคม
ด้วยความรู้สึกสะใจและรู้สึกมีตัวตนเมื่อได้กลั่นแกล้งคนอื่น ส่งผลต่อความถี่ในการกลั่นแกล้ง โดยกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 50.1% มีพฤติกรรมระรานคนอื่นทุกสัปดาห์ และในจำนวนนี้สามารถจำแนกความถี่ได้เป็น
7% ทำทุกวัน
17% หลายครั้งต่อสัปดาห์
25.9% หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์
ในการระบุช่วงวัยที่กลั่นแกล้งผู้อื่นมากที่สุดพบว่าอยู่ในช่วงวัยมัธยมศึกษาปีที่ 3 และนักเรียนชายมีแนวโน้มว่าหากถูกระรานจะไประรานคนอื่นต่อมากกว่าเพศอื่นๆ
การกลั่นแกล้งไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือในโลกออนไลน์เป็นวัฒนธรรมส่งต่อในสังคมไทยอย่างยาวนาน คำถามคือเราจะสามารถตัดวงจรการกลั่นแกล้งโต้ตอบกันไปมา หรือว่าหยุดสร้างค่านิยมว่าการกลั่นแกล้งคือความเท่ได้อย่างไร?
แล้วคุณล่ะเคยกลั่นแกล้งใครมาก่อนไหม ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง?
อ้างอิง:
- สสดย. และ สสส. การรับมือกับสถานการณ์การระรานทางออนไลน์ของเด็กไทย (Cyberbullying)