3 Min

เร่งรีบตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว จนตกอยู่ในอาการของภาวะ ‘ทนรอไม่ได้’ ควรทำอย่างไร

ภาวะทนรอไม่ได้ ที่คนยุคใหม่จำนวนมากอาจจะกำลังเผชิญหน้าอยู่ มักเกิดขึ้นได้ง่ายกับคนที่ติดโซเชียลหนัก จากเดิมเป็นคนใจเย็นก็กลายเป็นคนใจร้อน

3 Min
1549 Views
13 Dec 2021

Select Paragraph To Read

  • 1. ตื่นนอนให้เร็ว เพื่อมีเวลากินอาหารเช้า
  • 2. มาถึงก่อนเวลานัดอย่างน้อย 5 นาทีเสมอ
  • 3. นับ 1 - 5 ก่อนหยิบโทรศัพท์
  • 4. ขับรถตามความเร็วที่กำหนด
  • 5. จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำทุกวัน
  • 6. โทรหาครอบครัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
  • 7. หยุดพูดคำว่าไม่มีเวลา
  • 8. หาพื้นที่เซฟโซนที่ทำให้จิตใจสงบ
  • 9. ลองฝึกนั่งสมาธิ
  • 10. นึกถึงและวางแผนอนาคต

เนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนยุคสมัยใหม่นี้มักเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลกันมากขึ้น ทั้งการเรียน การทำงาน แม้กระทั่งการสั่งซื้อของทางออนไลน์ เพราะคิดว่ามันอำนวยความสะดวกสบาย และง่ายดายเวลาอยากได้อะไรต้องได้เดี๋ยวนั้นทันที จนในที่สุดกลายเป็นความเคยชินที่อาจนำไปสู่อาการของ ‘การทนรอไม่ได้’ หรือ ‘Hurry Sickness’

วันนี้เราจึงอยากมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับภาวะทนรอไม่ได้ ที่คนยุคใหม่จำนวนมากอาจจะกำลังเผชิญหน้าอยู่ มักเกิดขึ้นได้ง่ายกับคนที่ติดโซเชียลหนัก จากเดิมเป็นคนใจเย็นก็กลายเป็นคนใจร้อน ขี้เบื่อ ขี้หงุดหงิด มักคิดเร็วทำเร็ว และกระวนกระวายใจเมื่อต้องรอคอยอะไรนานๆ ทำให้เครียดง่าย และอาจรุนแรงถึงขั้นไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เสี่ยงเข้าข่ายโรคประสาท รวมไปถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจอีกด้วย

ทั้งนี้หากใครที่กำลังคิดว่ามีอาการที่บ่งบอกว่ากำลังเสี่ยงเป็นภาวะทนรอไม่ได้ล่ะก็ลองนำ 10 วิธี ดังต่อไปนี้ ไปปรับเปลี่ยนใช้กัน

1. ตื่นนอนให้เร็ว เพื่อมีเวลากินอาหารเช้า

ในหลายครั้ง เรามักตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในแบบพอดีๆ แบบที่เราได้นอนเยอะที่สุด แต่มันก็อาจจะเป็นเวลาที่บีบคั้นจนเกินไป ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว รีบออกจากบ้าน ทำให้ต้องเจอความกดดันมากมายจนก่อให้เกิดความเครียด อาจจะเปลี่ยนมาลองตื่นไวขึ้นดูบ้าง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรีบร้อน เผื่อเวลาไว้ในการเลือกกินอาหารเช้าที่อร่อยและมีประโยชน์

2. มาถึงก่อนเวลานัดอย่างน้อย 5 นาทีเสมอ

การมาสายไม่กี่นาที หลายคนอาจจะมองว่าไม่สาย แต่ในทางกลับกันหากเกิดขึ้นเป็นประจำก็ไม่ได้ส่งผลดีเท่าไหร่ ควรมาก่อนเวลาสัก 5 นาที จะช่วยทำให้รู้จักควบคุมเวลา สามารถเตรียมก่อนได้ และที่สำคัญมันทำให้ช่วยมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำต่อไป

3. นับ 1 - 5 ก่อนหยิบโทรศัพท์

ชีวิตของเราส่วนใหญ่คล้ายถูกฝังตัวอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์แทบจะทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งตอนเราอยู่ในห้องน้ำ ดังนั้นลองหลีกเลี่ยงหรือลดการใช้โทรศัพท์แล้วลองมีสติเวลาได้ยินเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นเสียงข้อความ อีเมล เสียงเรียกเข้าก็ตาม ด้วยการนับ 1 – 5 ในใจก่อนแล้วค่อยหยิบขึ้นมา เพื่อให้สมองได้ประมวลผลเสียก่อนว่าเสียงอะไรและตระหนักก่อนว่าเรื่องนี้คือเรื่องอะไร

4. ขับรถตามความเร็วที่กำหนด

หลายคนอาจจะงงแต่จริงแล้วมีประโยชน์มาก เพราะการจับรถด้วยความเร็วที่กำหนดนั้นไม่ใช่แค่หลีกเลี่ยงค่าปรับตามกฎจราจร แต่ยังช่วยควบคุมอารมณ์ จิตใจ รวมไปถึงความปลอดภัยของตัวเองและคนอื่นๆ บนท้องถนน

5. จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำทุกวัน

การจดลิสต์สิ่งที่ต้องทำในแต่วัน จะช่วยทำให้เราจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังได้ดียิ่งขึ้น จัดการสิ่งเหล่านั้นให้เป็นไปตามกำหนด ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือรบกวนผู้อื่นควรจดเอาไว้ให้เป็นนิสัยทุกวัน ว่าในวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง แน่นอนว่าต้องคอยขีดฆ่าออกไปทีละข้อจนหมด นอกจากนี้การจดสิ่งที่จะทำลงไป
สามารถช่วยให้เราเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้ดีมากขึ้นด้วย

6. โทรหาครอบครัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

การวางแผนเวลาในเรื่องของผู้คน ความสัมพันธ์ และครอบครัวเป็นเรื่องปกติในชีวิตที่เวลาเราห่างไกล หรือแยกออกมาอยู่คนเดียว การได้พูดคุย โทรหาเพียงไม่นาทีก็ช่วยทำให้ได้รับความอบอุ่น และไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแล้ว เพราาะการให้เวลากับใครก็ตามที่มีความสำคัญต่อเราเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น

7. หยุดพูดคำว่าไม่มีเวลา

ถ้าคุณพูดคำว่า “ไม่มีเวลา” อยู่บ่อยๆ ควรคิดหาทางจัดการกับเวลาในชีวิตให้ดี และต้องจัดเรียงลำดับความสำคัญให้ได้ ลองดูว่าอะไรที่มันสำคัญมากที่สุดแล้วต้องจัดการจริงๆ หรืออะไรที่สามารถตัดออกไปได้ หรือทำอย่างไรถึงจะมีเวลาว่างมากขึ้นได้

8. หาพื้นที่เซฟโซนที่ทำให้จิตใจสงบ

ลองพยายามค้นหาพื้นที่เซฟโซนที่ทำให้จิตใจสงบ อาจจะไม่ใช่สถานที่หรือผู้คน แต่รวมไปถึงสิ่งต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มีเสียงหัวเราะและปลอดภัยอยู่เสมอ ซึ่งพื้นที่เซฟโซนตรนั้นของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป

9. ลองฝึกนั่งสมาธิ

ลองหยุดคิดแล้วข่มจิตใจตัวเองให้สงบก่อนแล้วค่อยกลับไปสู่สภาวะปกติที่เร่งรีบ หรือถ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองให้อยู่นิ่งได้จริงๆ ก็ค่อยลองฝึกนั่งสมาธิอย่างจริงจังมากขึ้น จะได้มั่นใจว่าเรามีสติในการตัดสินใจได้ดี เพื่อตัวเองและเพื่อทุกคนรอบตัว

10. นึกถึงและวางแผนอนาคต

ลองวางแผนชีวิตของตัวเองในอีกหลายปี จนถึง 100 ปี ไปเลยก็ได้ว่ามองตัวเองกำลังทำอะไร หรืออยากทำอะไร แล้วจะเริ่มทำอะไรในตอนนี้ให้ไปให้ถึงอนาคตที่ตั้งเอาไว้ได้บ้าง เพื่อที่จะได้มองชีวิตของตัวเองจากมุมมองที่กว้างขึ้น และสามารถไตร่ตรองความเป็นจริงให้แน่ใจว่ากำลังจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญ

อย่างไรก็ตามการที่ทนรออะไรไม่ได้ แล้วต้องทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่ต้องเร่งรีบตลอดเวลา ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้างอย่างแน่นอน สำหรับคนที่คิดว่าเริ่มมีปัญหาดังกล่าวก็ไม่ควรทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาเรื้อรัง ลองปรับความคิด ปล่อยวางดูบ้างไม่เป็นอะไรหรอก และสามารถลองนำวิธีข้างต้นไปปรับใช้ดูกันได้นะ

อ้างอิง: