ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องซ่อมเองได้! ทำความรู้จัก iFixit บริษัทที่ก่อตั้งขึ้น เพราะเกลียดผลิตภัณฑ์ของ Apple

3 Min
1183 Views
05 Jul 2023

ในช่วงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีอย่าง Apple เปิดตัวใหม่ๆ นอกจากจะสร้างความฮือฮาด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนล้ำสมัย รูปลักษณ์หรูเท่กันแล้ว อีกเรื่องที่กลายเป็นข้อสังเกตตามมา กลับกลายเป็นเรื่องที่ว่า ถ้าอุปกรณ์เกิดความเสียหายจะแกะซ่อมแซมกันอย่างไร ถ้าแบตเสื่อมจะเปลี่ยนกันเองได้ไหม?

แต่ด้วยบริการหลังการขาย พร้อมๆ กับการเปิดตัวศูนย์บริการที่คอยช่วยดูแลปัญหาเหล่านั้น อะไรๆ ที่เราเคยคาใจก็ถูกมองข้ามกันไป – ไม่เป็นไร – เราซ่อมเองไม่ได้ ก็ยังมีร้านมีบริการคอยซัพพอร์ต

หากจะมีข้อยกเว้นก็คงเป็นบุรุษนาม ไคล์ ไวน์ส (Kyle Wiens) ที่แสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน ด้วยความที่เจ้าตัวอยากจะซ่อม iBook G3 ด้วยสองมือของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะค้นหาวิธีการจากช่องทางไหนก็ไม่พบอะไรนอกจากคู่มือการใช้งานเบื้องต้น ไม่ว่าจะบนเว็บไซต์ Apple การค้นหาผ่าน Google หรือเอกสารที่เป็นกระดาษ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นความลับไปเสียหมด

และจากความไม่พอใจในจุดเล็กๆ ก็ทำให้หนุ่มในวัย 19 เวลานั้น ก่อตั้งบริษัท iFixit และเปิดเว็บไซต์ iFixit.com ร่วมกับเพื่อนๆ ขึ้นในปี 2003 เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อในการสอนให้ใครก็ตามที่อยากซ่อมอุปกรณ์ไอที แต่ประสบปัญหา ‘หาคู่มือไม่ได้’ แบบเดียวกับที่เขาเจอ

หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่า ชื่อ iFixit ออกแบบมาโดยใช้ตัว i ตัวเล็กนำหน้า F ตัวใหญ่ ทำนองเดียวกับ iPhone iPad iMac ซึ่งก็เป็นการตั้งขึ้นเพื่อ ‘ล้อ’ ผลิตภัณฑ์ของ Apple นั่นเอง

แต่แรงผลักดันสำคัญของ ไคล์ ไวน์ส และ iFixit มาจากประเด็นที่ว่า ‘คนทุกคนควรมีสิทธิซ่อมแซมอุปกรณ์ของตัวเอง’ โดยมีคีย์เวิร์ดสำคัญอย่าง ‘Right to Repair’ (สิทธิที่จะซ่อมเอง) ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่นักรณรงค์เรื่องสิทธิผู้บริโภคในยุโรปให้ความสำคัญกันมากในปัจจุบัน 

และในความเป็นบริษัทที่ย่อมต้องมีรายได้เข้ามาจุนเจือ iFixit ก็เลยตั้งฝ่ายจำหน่ายอุปกรณ์ซ่อมแซม และอะไหล่อุปกรณ์ไอทีแทบทุกระบบและยี่ห้อผ่านทางออนไลน์ ก่อนภายหลังจะพัฒนาความร่วมมือการขายอะไหล่ให้บริษัทใหญ่ๆ อย่าง Google และ Samsung และอีกหลายๆ แบรนด์ไอที เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาวิธีการซ่อมแล้ว สามารถหาซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนแปลงเองได้แบบครบวงจร

จากจุดเริ่มต้น iFixit อาจเป็นเพียงคู่มือออนไลน์ที่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าถึงวิธีการซ่อมอุปกรณ์ไอที ตามขั้นตอนที่อธิบายและปฏิบัติได้ตามอย่างง่ายๆ แต่อีกด้าน iFixit ได้พัฒนาตัวเองมาเป็นนักวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ไอทีขึ้นมาในอีกหนึ่งบทบาท 

และไม่ต้องสงสัยเลยว่าบริษัทอย่าง Apple มักได้คะแนนรีวิวที่ต่ำอยู่เสมอๆ – แม้ว่าในฐานะผู้บริโภคอย่างเราๆ จะรู้สึกตื่นตากับนวัตกรรมที่ถูกพรีเซนต์ออกมา แต่ในบทวิเคราะห์ของ iFixit จะเน้นในประเด็นที่ว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่เหล่านั้นซ่อมยากแค่ไหน 

ความซ่อมยากในที่นี้ไล่มาตั้งแต่ ผลิตภัณฑ์บางชิ้นอาจต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการแกะ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีเพียงไขควงธรรมดา ไปจนถึงความซับซ้อนของอุปกรณ์ที่อาจเป็นอะไหล่เฉพาะทาง หาไม่ได้ตามท้องตลาด ซึ่งหากใครริจะซ่อมย่อมต้องเข้าตาจนยอมจำนนไปในที่สุด

อันที่จริง iFixit ก็ไม่ได้หมายมั่นปั้นมือจะโจมตีแต่ Apple เพียงเจ้าเดียว แบรนด์ผลิตภัณฑ์ไอทีอื่นๆ ก็โดนแบบเดียวกัน ถ้าทางทีมงาน iFixit ประเมินแล้วว่าซ่อมยาก หรือไม่สามารถซ่อมเองได้เลย ต้องส่งร้านหรือศูนย์บริการเพียงอย่างเดียว ก็มีสิทธิรับ 0 คะแนนเต็ม 10 ได้ทุกราย เพราะการซ่อมไม่ได้เป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการของบริษัท

แต่ในความตรงไปตรงมานี้เอง ก็ทำให้ iFixit กลายเป็นสื่อที่วงการเทคโนโลยีให้การยอมรับ และกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลด้านเทคโนโลยีไปโดยปริยาย

นอกจากหลักการเรื่อง ‘Right to Repair’ แล้ว iFixit ยังให้ความสำคัญกับประเด็นใหญ่ๆ อีกสองเรื่อง

เรื่องแรกเป็นประเด็นทางสิ่งแวดล้อม iFixit ยึดหลักการที่ว่า ถ้าหากเราทุกคนสามารถซ่อมแซมอุปกรณ์ไอทีได้เอง ก็จะลดการซื้อของใหม่ อันนำไปสู่การลดจำนวนผลิตภัณฑ์ลง เพราะขั้นตอนการผลิตยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากเท่านั้น แต่หากซ่อมได้มากก็หมายถึงการลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

ส่วนอีกเรื่อง คือ การกระจายรายได้ไปสู่ช่างซ่อมอุปกรณ์ไอทีรายย่อย ยิ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้เรื่องการซ่อมแซมได้มาก ผู้ให้บริการซ่อมแซมก็จะมีโอกาสเติบโตขึ้นได้ ผู้บริโภคอย่างเราก็จะมีทางเลือกไม่ต้องไปรอคิวร้านใหญ่ๆ หรือศูนย์บริการของแบรนด์เพียงทางเดียว

จากแรงจูงใจเล็กๆ มาถึงปัจจุบัน iFixit ได้รับการประเมินว่ามีมูลค่ากิจการสูงถึง 21 ล้านดอลลาร์ และถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผู้นำด้านความรู้เรื่องไอทีอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนยากจะเลียนแบบตาม

 

อ้างอิง: