ในขณะที่มนุษย์ถกเถียงกันว่า AI ดีกับโลกจริงไหม ChatGPT ก็ยอมรับว่า AI เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกรวน
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ในวันนี้ ได้ก่อให้เกิดประเด็นชวนสนทนา วิเคราะห์บทบาท สถานการณ์ออกมามากมายหลายหัวข้อ และหนึ่งในประเด็นที่ถูกนำมาวิพากษ์กันไม่น้อย คือ เรื่องทางสิ่งแวดล้อม
โดยฝ่ายหนึ่งมองว่า การพัฒนาแบบก้าวกระโดดจนเกิดความนิยมชมชอบนั้น จะส่งผลต่อการใช้พลังงานอย่างมหาศาล โดยเฉพาะกับระบบการประมวลผลที่ทำงานซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ขณะที่ปัจจุบันแม้แนวโน้มการผลิตพลังงานสะอาดจะมีเพิ่มมากขึ้น แต่ก็อาจยังไม่พอต่อความต้องการทางด้านเทคโนโลยีที่พัฒนาไปพร้อมๆ กันอย่างมากมายเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น เคยมีการศึกษาประเมินว่ากระบวนการสร้างองค์ความรู้ให้ GPT-3 ซึ่งมีพารามิเตอร์ 175 พันล้านพารามิเตอร์ (โมเดลภาษาที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา – ณ เวลาที่โปรแกรมรุ่นดังกล่าวเปิดตัว) จะใช้พลังงานไฟฟ้า 1,287 เมกะวัตต์ชั่วโมง และสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 552 ตัน เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนของรถยนต์ส่วนตัวจำนวน 123 คัน เป็นเวลา 1 ปี
และตัวเลขอาจสูงขึ้นตามการพัฒนาโปรแกรมรุ่นใหม่ๆ ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจประเมินค่าได้ชัดเจน ไม่นับรวมว่าการใช้ AI อย่างพร่ำเพรื่อในชีวิตประจำวัน จำพวกที่ว่าใช้ AI ทำการบ้านแทน หรือช่วยทำงานไปเสียหมดทุกอย่าง จะปล่อยก๊าซคาร์บอนอีกเท่าไหร่
ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า AI คือโอกาสในการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม เพราะเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์มากต่อการวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ระบุรูปแบบและทำนายพฤติกรรม คาดการณ์ผลกระทบ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
หรือในการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP) ประเทศร่ำรวยสามารถส่งผู้แทนเข้าร่วมช่วยวิเคราะห์เนื้อหาต่างๆ ในการประชุมได้เป็นจำนวนมาก แต่ประเทศขนาดเล็กที่ไม่ได้มีทุนรอนสำหรับการเดินทาง ก็สามารถใช้ AI เป็นดั่งกองทัพนักวิเคราะห์ช่วยออกแบบการทำงานในระหว่างประชุมเพื่อเซ็นข้อตกลงต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ประเด็นเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ต่างก็ถกเถียงกันถึงข้อดีข้อเสีย และมีบทความให้อ่านรายวันจากทั้งสื่อใหญ่สื่อเล็ก บ้างก็ถกกันในเรื่องเดียวกัน บ้างก็ถกกันคนละเรื่องเดียวกัน
สำหรับเรื่องของคนก็คงต้องติดตามการวิเคราะห์แยกแยะกันต่อไป แต่ถ้าเราไปถาม AI อย่าง ChatGPT ดูล่ะ จะได้คำตอบอย่างไร
คุณเป็นสาเหตุที่ทำให้โลกรวนใช่หรือไม่ ?
ChatGPT ตอบว่า ในฐานะโมเดลภาษาของ AI ฉันไม่มีตัวตนหรือไม่สามารถทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้โดยตรง ภาวะโลกร้อนมีสาเหตุหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล แม้ว่าฉันสามารถให้ข้อมูลและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ แต่ความรับผิดชอบในการจัดการกับภาวะโลกร้อนนั้นเป็นของบุคคล รัฐบาล และองค์กรต่างๆ ทั่วโลก
และพอถามต่อเรื่องระบบประมวลผล ก็ได้รับคำตอบว่า เป็นความจริงที่การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ รวมถึงโมเดล AI เช่นตัวฉันเอง ต้องใช้พลังงานและสามารถนำไปสู่การปล่อยคาร์บอนได้ ซึ่งแหล่งพลังงานบางส่วนอาจอาศัยเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ก็ต้องพิจารณาในบริบทที่กว้างขึ้น ขณะเดียวกันปัจจุบันได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนในศูนย์ข้อมูล นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้คอมพิวเตอร์เมื่อเวลาผ่านไป
ในคำถามสุดท้าย แล้วเราจะใช้ AI อย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบต่อโลก ChatGPT ได้แนะรายละเอียดไว้ 6 วิธีการ ประกอบด้วย (1) เริ่มต้นการใช้แหล่งพลังงานสะอาดเป็นอันดับแรก (2) มองหาใบรับรองพลังงานสะอาดเพื่อให้แน่ใจว่าไฟฟ้าที่ใช้มาจากพลังงานหมุนเวียนจริงๆ (3) ลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่ประหยัดพลังงานและศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อลดการใช้พลังงาน
(4) ออกแบบซอฟต์แวร์ที่ประหยัดพลังงาน (5) เลือกที่ตั้งศูนย์ข้อมูลและศูนย์ประมวลผลในภูมิภาคที่มีพลังงานหมุนเวียน และ (6) เข้าร่วมในโปรแกรมชดเชยคาร์บอนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผล
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นถ้อยความที่ได้จากการประมวลผลของ AI ซึ่งก็ถือว่าเป็นคำแนะนำค่อนข้างตรงประเด็นในทางทฤษฎี ส่วนในทางปฏิบัติจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ คำตอบคงอยู่ที่ผู้พัฒนาในอนาคตว่าจะลงมือทำตามคำแนะนำมากน้อยและเร็วแค่ไหน
หมายเหตุ – คำตอบของ ChatGPT คัดลอกมาเพียงถ้อยความที่สำคัญ โดยตัดทอนรายละเอียดตัวอย่างต่างๆ ออกไป เพื่อให้บทความมีความกระชับ และไม่ใช่เป็นงานเขียนที่เกิดขึ้นโดย AI ทั้งหมด
อ้างอิง:
- ChatGPT: What is the carbon footprint of generative AI models? https://shorturl.asia/zMykC
- AI can level playing field in climate negotiations https://shorturl.asia/NOmRE