รักแรกพบเพียงสบตา เวลาตกหลุมรัก ใครสักคนแล้วคิดว่าคนนี้แหละคือ คู่ในฝันที่สวรรค์ส่งมา
วันนี้ MOODY ชวนทุกคนมาพูดถึงคนที่บูชาความรักแสนโรแมนติกกัน
โดยที่ ‘รักโรแมนติก’ เกิดจากแนวคิดโรแมนติกในยุโรปช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ซึ่งถ่ายทอดอุดมการณ์ผ่านนนักกวี ศิลปิน และนักปรัชญา ทำให้แนวคิดแห่งความโรแมนติกนี้สอดแทรกไปตามวัฒนธรรมประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดรักโรแมนติกมักเชื่อว่า ความรักที่แท้จริงคือการใช้ความรู้สึกชี้นำมากกว่าเหตุผลต่างๆ เพื่อพิจารณาว่าคนคนนี้ใช่หรือเปล่า หากความรู้สึกยืนยันว่า ใช่ ก็คือ ใช่
พวกเขาจะยอมรับทุกอย่างในตัวตนของคู่รักโดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร
โดยหมุดหมายสำคัญคือ การแต่งงาน ที่มาพร้อมกับงานเลี้ยงแสนหรูหรา การเฉลิมฉลอง ยินดีปรีดา รอยจูบหลังคำสัญญาแสนหวาน ไปจนถึงชีวิตหลังงานแต่งที่อบอุ่นราวกับช่วงเวลาที่เพิ่งอบขนมปังอันหอมกรุ่นเสร็จใหม่ในทุกๆ วัน และหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ดั่งในละครหรือนิยายรักอันหวานชื่น
แต่หากมองมาที่ชีวิตจริง คงไม่มีคู่รักไหนเป็นเช่นนั้น แนวคิดโรแมนติกนี้ นำเสนอความรักเพียงด้านเดียว คือความเพ้อฝัน และตอนจบบริบูรณ์ในฉากแต่งงานเท่านั้น แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงทั้งบวกและลบเพื่อให้คู่รักเห็นทั้งสองด้าน
เช่น ถ้าเราเชื่อในความรักแนวคิดโรแมนติกจะทำให้เราเชื่อว่า เราจะมีความสุขทุกวัน ความรักจะเยียวยาเราได้ทุกเรื่อง มีคนรักคอยเอาใจ เข้าใจกันทุกอย่าง เป็นทุกอย่างให้กันและกันเสมอ ตลอดเวลา
ทั้งที่จริงๆ แล้ว ความรักมักจะมาพร้อมกับความทุกข์ใจ ความกังวล ความไม่แน่นอน ใช่ว่าจะมีแต่ความสุขเสมอไป
ในช่วงชีวิตหนึ่ง โดยเฉพาะวัยรุ่น เราอาจเคยมีค่านิยมแนวคิดโรแมนติกว่าเป็นความรักในอุดมคติ แต่เมื่อโตขึ้น ผ่านประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ความรักมากมาย จึงรู้ว่า ความรักไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด แต่มีหลายด้านและซับซ้อนกว่านั้น
และการยึดถือแนวคิดโรแมนติกนี้ ก็มักทำให้เกิดความคาดหวังที่เกินจริง เช่น การที่เราเชื่อว่าคนรักต้องเข้าใจเราทุกอย่างแม้เราจะไม่พูด แล้วโยนความรับผิดชอบให้คู่รักของเราคาดเดาเอาเอง
แต่อย่าลืมว่า ทุกความสัมพันธ์จะดำเนินไปดีได้ต้องประกอบด้วยหลายปัจจัย ทั้งการปรับตัวและการสื่อสารที่มีคุณภาพ
เพราะในความจริงแล้ว ไม่มีใครเดาใจเราได้ถูก 100 เปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา
อย่าลืมว่าในชีวิตเรายังมีคนอื่นๆ ที่รักเรา มีความสัมพันธ์อื่น มีสังคมที่เราก็ต้องมีการเชื่อมต่อเช่นกัน
คนรักไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต แต่เป็นส่วนที่มาประกอบสร้างในส่วนที่เรารู้สึกว่าขาดหายไปเท่านั้น หรืออาจมาเพิ่มพูนชีวิตที่ดีอยู่แล้ว ให้ดียิ่งขึ้นไป เป็นพาร์ตเนอร์ที่จูงมือกันเดินไปข้างหน้า
ดังนั้น อย่าปล่อยให้ความโรแมนติกสุดโต่งมาทำลายความสัมพันธ์ แต่ใช้มันให้เป็นเหมือนเครื่องปรุงรสที่มาช่วยให้ชีวิตมีหลายรสชาติขึ้นดีกว่า
อย่าลืมนะ มองความรักของเราให้เป็นไปตามความเป็นจริง นำเงื่อนไขในชีวิตของแต่ละคนมาคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และช่วยกันเพื่อทำให้เงื่อนไขนั้นลงตัวกับชีวิตของคนทั้งสองคนจะดีกว่า
อ้างอิง
- How Romanticism Ruined Love https://shorturl.asia/mIgkh