รู้ไหม? ครั้งหนึ่ง ‘รักร่วมเพศ’ เคยเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในโลกอิสลาม

3 Min
1292 Views
14 Mar 2022

การรักเพศเดียวกันเป็นหนึ่งในอาชญากรรมชั่วร้ายที่สุด และคนรักเพศเดียวกันเป็นความอัปยศในโลกนี้และโลกหน้านี่เป็นคำถ้อยแถลงของ เชค อับดุลลาซีส อัลเชค (Sheikh Abdulaziz al-Sheikh) ผู้นำทางศาสนาสูงสุดของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2021

หลักกฎหมายอิสลามหรือชารีอะ (Sharia) ที่บังคับใช้ในบางประเทศ ได้มีการกำหนดว่าการรักร่วมเพศเป็นเรื่องผิดกฎหมายและมีบทลงโทษที่ร้ายแรงมาก เนื่องจากคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอานระบุไว้ว่ามันจะนำมาซึ่งหายนะอันใหญ่หลวงและคนกลุ่มนี้ควรได้รับการลงโทษจากอัลเลาะห์

แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ครั้งหนึ่งการรักร่วมเพศเคยเป็นเรื่องถูกกฎหมายในอาณาจักรออตโตมัน (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นจักรวรรดิอิสลามที่รุ่งเรืองในสมัยศตวรรษที่ 14 – 20 แถมสุลต่านบางพระองค์ก็ยังมีรสนิยมชายรักชายอีกด้วย

ปฏิรูปกฎหมายรักร่วมเพศ

ในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่สุลต่านอับดุลเมจิดที่ 1 (Abdülmecid I) ’ ปกครองอาณาจักรออตโตมัน ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการปฏิรูปกฎหมาย ‘Tanzimat’ ในปี 1858 ซึ่งมีสาระสำคัญ 3 ประเด็นคือ หนึ่ง คือ ยกเลิกบทลงโทษด้วยการปาหินต่อผู้กระทำความผิดฐานผิดประเวณี สอง ให้การสนับสนุนความเสมอภาคทางสังคม โดยยกเลิกการเลือกปฏิบัติต่อคนนอกศาสนาอิสลามและผลักดันให้มีสถานะเท่าเทียมกับชาวมุสลิม

และสาม คือให้รักร่วมเพศเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย

สิ่งที่น่าสนใจคือถึงแม้จะไม่มีการแก้ไขกฎหมายอย่างเป็นทางการ แต่การรักร่วมเพศก็ดูจะเป็นเรื่องปกติสามัญในอาณาจักรออตโตมัน (ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรอิสลาม’)

ข้อมูลหลักฐานจากหนังสือ ‘The Ottoman World: A Cultural History Reader, 1450–1700’ ระบุว่าในสมัยนั้นมีการคิดค้นคำศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเพศขึ้นมากว่าหลายร้อยคำ และมีการพูดถึงคำว่าคนข้ามเพศ’ (Transgender) และเพศที่สามที่แยกออกมาจากชายหญิงด้วย

ว่าด้วยเพศในจักรวรรดิออตโตมัน

การวิจัยระหว่างนักภาษาศาสตร์ด้านออตโตมัน เฮลก้า อาเนทโชเฟอร์ (Helga Anetshofer) และ อิเพก อุนเนอร์ชิก (Ipek Hüner-Schick) จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ร่วมกับ ศาสตราจารย์ด้านวัฒนศึกษา เออร์วิน เซมิล ซิก (Irvin Cemil Schick) ทั้งสามคนได้ร่วมกันวิเคราะห์หาศัพท์เฉพาะทางเพศมากกว่า 600 คำในวรรณกรรมของชาวออตโตมัน และได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สำคัญสองประการ

หนึ่ง ชาวออตโตมันแยกเพศสภาพ (Gender) ออกเป็น บุรุษ สตรี และเด็กชายซึ่งเป็นเพศที่ 3 ที่แยกออกมา เพราะยังไม่มีหนวดเคราที่แสดงความเป็นบุรุษ (Masculine) และแบ่งปันลักษณะบางอย่างร่วมกับเพศสตรี ส่วนสตรีก็คือทารกที่เกิดมามีเพศหญิง และจะได้เป็นหญิงไปตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ถ้าทารกเกิดมามีเพศชาย ก็จะถูกกำหนดให้เป็นเพศเด็กชายก่อน และจึงค่อยเปลี่ยนเป็นบุรุษในภายหลัง ซึ่งทำให้ผู้ชาย ในทรรศนะของคนออตโตมันนั้นล้วนแต่เป็นคนข้ามเพศ’ (transgender) ทั้งนั้นเพราะได้ข้ามจากเพศเด็กชายมาเป็นบุรุษหนุ่ม

และสอง ในส่วนเรื่องของเพศวิถี (Sexuality) ชาวออตโตมันแบ่งเพศวิถีออกเป็นฝ่ายรุก (Penetrating) และฝ่ายรับ (Being penetrated) เพศชายสามารถเป็นได้ทั้งรุกและรับ ส่วนเพศหญิงและเพศเด็กชายจะถูกจัดเป็นฝ่ายรับมากกว่า

เพื่อนชายในห้องนอนของสุลต่าน

ดูรูปรสนิยมชายรักชายจากหนังสือ ‘Sawaqub al-Manaquib’ จากศตวรรษที่ 19 ได้ที่นี่: https://bit.ly/34qv2wk

เมื่อเพศวิถีแบ่งเป็นรุกและรับ การร่วมเพศหรือมีเซ็กซ์ในสมัยนั้นจึงค่อนข้างมีสีสันรสนิยมชายรักชายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากและไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยเหตุนี้ทำให้ประวัติศาสตร์มีการบันทึกไว้ว่าสุลต่านบางองค์ใช้เวลาในห้องนอนกับชายหนุ่มมากกว่ามเหสีของตัวเองเสียอีก

ยกตัวอย่างเช่นคู่ของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed II) กับราดู ผู้รูปงาม (Radu Cel Frumos) เจ้าชายจากอาณาจักรโรมาเนียที่ถูกจับไปเป็นเชลย ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นคนสนิทของเมห์เหม็ดที่ 2

ถึงแม้เรื่องราวของทั้งคู่จะถูกบันทึกไว้อย่างอ้อมๆ ว่าทั้งคู่สนิทกันมากและสุลต่านก็ชอบเขียนจดหมายและแต่งบทกวีให้เพื่อนคนนี้อยู่บ่อยๆ แต่มันก็ดูออกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นเพื่อนกันธรรมดา

ความเชื่อและศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และถ้ายิ่งมีเรื่องเพศเข้ามาคาบเกี่ยวด้วยก็ช่างยากเหลือเกินที่จะกำหนดว่าแท้จริงแล้วใครผิดหรือถูก หรือจะสามารถระบุได้อย่างชัดแจ้งว่าบรรทัดไหนในพระคัมภีร์ที่เป็นคำสอนดั้งเดิมหรือที่ถูกตีความเพิ่มเติมเข้าไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

ท้ายที่สุด ในโลกปัจจุบันที่ความหลากหลายเข้าครอบคลุมอย่างไม่อาจปฏิเสธ การเคารพความแตกต่างจึงดูเหมือนเป็นหนทางที่ดีที่สุดในเวลานี้ ที่จะทำให้เราทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนที่สุด โดยไม่มีความเชื่อไหนหรือทัศนคติทางเพศใดมาแบ่งกั้น

อ้างอิง

  • ข่าวสด. มุฟตีสูงสุดซาอุฯประกาศคนรักเพศเดียวกันเป็นความอัปยศในโลกนี้และโลกหน้า”. https://bit.ly/3MomVRQ
  • Workpoint Today. มองสองมุมบรูไนกับโทษประหารเพศที่สาม เหมาะสมหรือไม่? https://bit.ly/35PYvjp
  • National Portrait Gallery. Abdülmecid I, Sultan of the Ottoman Empire. https://bit.ly/3HFHFRQ
  • Faith Matters. The Tanzimat: Secular Reforms In The Ottoman Empire. https://bit.ly/35v2PF9
  • Aeon. What Ottoman erotica teaches us about sexual pluralism. https://bit.ly/3pEPVev
  • HISTORY WORKSHOP. Missing Voices in the Age of the Beloveds: Ottoman Same Sex Intimacy. https://bit.ly/3CcJBA0
  • Wikipedia. Radu the Handsome. https://bit.ly/35sjdGo