เพราะจับประชากรด้อยคุณภาพทำหมัน เราถึงเจริญ ประวัติศาสตร์มืดของชาติที่เจริญแล้ว
โลกตะวันตกเจริญกว่าเราเยอะ นี่เป็นความจริงในภาพรวมที่ปฏิเสธได้ยาก
ซึ่งบางคนก็อาจจะรู้สึกว่า “ประชากรของเขามีคุณภาพ” กว่าเรา และตรงนี้หลายคนก็อาจเถียงได้ยาก เพราะความเจริญของชาติ พื้นฐานจริงๆ ไม่ได้หนีไปจากประชากรเท่าไร
แล้วทำไมประชากรของเขา “มีคุณภาพ” กว่าเรา?
บางคนก็อาจมองเป็นเรื่องการศึกษา วัฒนธรรม คงไม่มีใครมองว่าเพราะคนของเขาดีกว่าเรา “ตามธรรมชาติ” เพราะในยุคนี้ ถ้าจะอธิบายเชิงพันธุกรรมอะไรแบบนั้น คนก็คงจะด่าว่า “เหยียดเชื้อชาติ”
แต่รู้ไหมว่าเรื่องนี้มี “มูลความจริง” ว่า ชาติตะวันตกที่เจริญทั้งหลาย เคยมีนโยบาย “พัฒนาสายพันธุ์มนุษย์” ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็น และมันโหดระดับที่จับเอามนุษย์ที่ “ไม่ควรจะให้แพร่พันธุ์ต่อไป” ทำหมัน
แน่นอนว่าอะไรแบบนี้ฟังดู “นาซี” มากๆ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ “นาซี” ทำจริงๆ แต่ก็เป็นจริงเช่นกันว่า ไม่ใช่แค่นาซี แต่ชาติ “ประชาธิปไตย” ต่างๆ ในยุคนั้นที่หลังจากนั้นเจริญก้าวหน้าสุดๆ ก็ทำกันปกติทั้งโลกตะวันตก
อเมริกานี่ตัวดีเลย อังกฤษ ฝรั่งเศสก็ทำกันปกติ หรือชาติที่ถือว่าคุณภาพชีวิตสูงระดับโลกในปัจจุบันอย่างสวีเดนก็ทำมายาวนาน ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปลองดูกัน
จุดเริ่มต้นการพัฒนาสายพันธุ์มนุษย์
ความคิดในการ “พัฒนาสายพันธุ์มนุษย์” เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดในศตวรรษที่ 19 ในโลกตะวันตก ซึ่งสังคมยุคนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากๆ
ช่วงนั้นความรู้ทางการแพทย์และพันธุกรรมพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด มนุษย์เริ่มเข้าใจว่าลักษณะต่างๆ สามารถส่งต่อทางพันธุกรรมได้ โดยเฉพาะความเจ็บป่วย และในยุคเดียวกันเอง ความรู้ทางการแพทย์ก็พัฒนามากขึ้นในระดับที่การ “ทำหมัน” ทำได้อย่างปลอดภัยกว่ายุคก่อนๆ เพราะเรามีความเข้าใจเรื่อง “เชื้อโรค” และความจำเป็นของการ “ฆ่าเชื้อ”
รัฐตะวันตกยุคนั้นที่แย่งชิงกันเป็นมหาอำนาจ มองเห็นว่าพื้นฐานที่สำคัญของความเจริญของชาติคือ “ประชากร”
และแน่นอนนี่ทำให้เกิดการขยายการศึกษาอย่างกว้างขวางเพื่อให้ประชากรมีคุณภาพ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็มี “ปัญหาสังคม” จำนวนมาก อันเกิดจากอาชญากรรม ความพิการ ปัญหาทางจิต ฯลฯ
พูดอีกแบบ มันจะมีคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่เป็น “อุปสรรคต่อการพัฒนา” ซึ่งในยุคนั้นมี “ความเชื่อ” ว่าคนพวกนี้เป็นแบบที่เป็น เพราะมีพันธุกรรมที่ไม่ดี ซึ่งในมุมรัฐ คนพวกนี้ไม่ควรจะแพร่พันธุ์ต่อไป และการ “บังคับทำหมัน” (forced sterilization)
การบังคับทำหมันเป็นนโยบายปกติในโลกตะวันตก รวมถึงสังคมที่รับแนวคิดตะวันตกมามากๆ อย่างญี่ปุ่น และเรียกได้ว่า ชาติที่ “ก้าวหน้า” ทั้งหลายในตอนต้นศตวรรษที่ 20 ก็ล้วนมีชุดของนโยบายการพัฒนาประชากรทั้งสิ้น และชาติพวกนี้ ก็มีนโยบายเอาประชากรที่ “ไม่ควรจะแพร่พันธุ์ต่อไป” เพราะขัดต่อความเจริญของชาติมาทำหมันทั้งสิ้น
นาซีเยอรมนีเป็นแค่หนึ่งในหลายๆ ชาติที่ทำแบบนี้ มันเป็นนโยบายปกติในยุโรป ไม่มีอะไร “เผด็จการ” ในนั้น เพราะชาติ “ประชาธิปไตย” ก็ทำ

Francis Galton ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งแนวคิดการพัฒนาสายพันธุ์มนุษย์ | Wikipedia
สิทธิมนุษยชน …อาจไม่ช่วยอะไร
ทั้งหมดที่ว่ามา ฟังดู “ขัดต่อสิทธิมนุษยชน” มากในมาตรฐานศตวรรษที่ 21 ลองนึกง่ายๆ ว่าถ้ามีนักการเมืองสักคนบอกว่าควรจะจับคนเป็นซึมเศร้าและคนเป็นไบโพลาร์ไปทำหมันให้หมดจะเกิดอะไรขึ้น? นี่เป็นสิ่งที่จินตนาการไม่ออกเลยในยุคปัจจุบัน
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งที่เรียกว่า สิทธิมนุษยชนได้เกิดขึ้น แต่มันก็ค่อยๆ พัฒนาไปช้าๆ เพิ่มสิทธิมาทีละอย่าง และภายหลังการต่อสู้เพื่อสิทธิต่างๆ สารพัดในยุค 1960’s ในปี 1968 สิทธิในการแพร่พันธุ์ (Reproductive Right) ก็ถูกบรรจุลงในข้อตกลงสิทธิมนุษยชนในโลก
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ นับแต่นั้น การจับคนไปทำหมันโดยไม่ยินยอม ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
แต่ถามว่ามันช่วยอะไรมั้ย คำตอบคือไม่
ในอเมริกา การจับผู้หญิงที่เป็นคนกลุ่มน้อยไปทำหมันดำเนินมาเรื่อยๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบ “ลักไก่” หรือการแอบทำหมันให้คนไข้แบบคนไข้ไม่ได้ขอ และก็เรียกได้ว่าในช่วงยุค 1970 อะไรแบบนี้ถึงจะลดลง และมันไม่ได้ลดลงเพราะอเมริกาเคารพสิทธิมนุษยชนมากขึ้น แต่เกิดขึ้นเพราะมาตรฐานทางการแพทย์เริ่มมีระบบการ “เซ็นยินยอม” ก่อนจะทำอะไรกับร่างกายผู้ป่วย และพวกหมอๆ ก็เลิกทำหลักๆ เพราะ “กลัวโดนฟ้อง” นั่นเอง
ญี่ปุ่นเองก็ไม่ใช่น้อย คือคงไม่ต้องถามว่าก่อนจบสงครามโลกญี่ปุ่นนี่ “นาซี” ขนาดไหน ในการคัดเลือกสายพันธุ์คนญี่ปุ่น และความต้องการ “เลือดบริสุทธิ์” แต่ประเด็นที่คนไม่ค่อยรู้คือ หลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก โครงการพัฒนาสายพันธุ์คนญี่ปุ่นก็ยังไม่จบ และมีการออกกฎหมายให้อำนาจรัฐในการ “ทำหมัน” คนที่มีลักษณะด้อยทางพันธุกรรมโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม ซึ่งกฎหมายนี้เลิกไปในปี 1996 แต่ระหว่างนั้น คนที่มีปัญหาพันธุกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนพิการและมีปัญหาทางจิตในญี่ปุ่นก็ถูกทำหมันโดยไม่ยินยอมไปเป็นหมื่นๆ คน และญี่ปุ่นก็เพิ่งออกมาขอโทษและจ่ายค่าชดเชยให้คนเหล่านี้ในปี 2019 นี้เอง
หรือจะเป็นสวีเดน ถ้าบอกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ใครจะแปลงเพศในสวีเดนจะโดนบังคับทำหมันคนคงยากจะเชื่อ แต่มันเป็นความจริง เพราะอันที่จริงแล้ว สวีเดนคล้ายๆ อเมริกา คือมีโครงการพัฒนาสายพันธุ์มนุษย์โดยจับคนที่ “มีปัญหาทางพันธุกรรม” ไปทำหมันมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 จนถึง 1970’s แต่ที่น่าสนคือ ในขณะที่ช่วง 1970’s โครงการพวกนี้น่าจะล้มตายไปหมดในโลกตะวันตก แต่สวีเดนกลับยังคงโครงการนี้เอาไว้เฉพาะสำหรับคนที่แปลงเพศ ซึ่งเหตุผลในทางตรรกะก็คือ สวีเดนไม่ต้องการให้คนผิดเพศแพร่พันธุ์ต่อไป เลยทำให้เป็นระเบียบที่คนแปลงเพศในสวีเดนทุกคนต้องยินยอมที่จะทำหมัน และกฎหมายที่ว่านี้เพิ่งเลิกไปในปี 2013 นี้เอง
ปัญหาและมรดกแนวคิดตัดตอนคนด้อยคุณภาพ
คงจะเป็นเรื่องยากจะยอมรับว่าชาติที่เจริญๆ ทุกวันนี้ เจริญเพราะนโยบาย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ในมาตรฐานปัจจุบันอย่างนโยบายคัดเลือกสายพันธุ์มนุษย์
แต่ในความเป็นจริงก็คือบรรดาชาติเจริญแล้วทุกวันนี้แทบทุกชาติผ่านนโยบายแบบนี้มาอย่างเข้มข้นช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่ก็เป็นความจริงเช่นกันว่าย้อนกลับไปในยุคนั้น แนวนโยบายแบบนี้เป็นนโยบายที่ฮิตเฉพาะในชาติที่เจริญ
พูดอีกแบบก็คือมันไม่ใช่ว่าชาติพวกนี้เจริญเพราะนโยบายพัฒนาสายพันธุ์มนุษย์ เท่ากับที่ชาติพวกนี้มีนโยบายแบบนี้เพราะชาติมันเจริญแต่แรกแล้ว และนโยบายนี้ก็เป็นแค่เทรนด์ของนโยบายสาธารณะในบรรดาชาติที่เจริญและต้องการจะเป็นมหาอำนาจ
ดังนั้นจึงพูดยากว่านโยบายพวกนี้นำไปสู่ความเจริญของชาติพวกนี้แค่ไหน
แต่สิ่งที่เป็น “ปัญหา” ก็คือ นโยบายพวกนี้ เป็นข้ออ้างในการกีดกันการแพร่พันธุ์ของคนกลุ่มน้อยในสังคม อย่างในอเมริกานี่ชัดเจนมาก คนที่ถูกส่งไปทำหมันส่วนใหญ่คือผู้หญิงคนกลุ่มน้อย และผู้หญิงเหล่านี้ในหลายครั้งก็ถูกส่งไปทำหมันด้วยข้ออ้าง “ปัญหาทางจิต” ทั้งที่จริงๆ พวกเธอปกติ
กลับมาทุกวันนี้ เอาจริงๆ การพยายามพัฒนาสายพันธุ์มนุษย์ก็ไม่ได้จบไป แต่มันอาจเป็นทางเลือกของปัจเจกมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ความรู้ด้านพันธุกรรมเราสูงขึ้นระดับที่เริ่มเข้าใจว่าหลายๆ โรคที่เราไม่คิดว่าเกี่ยวกับพันธุกรรมจริงๆ แล้วมันเกี่ยว
พูดง่ายๆ ปัจเจกถูกหยิบยื่นให้มีภาระในการ “พัฒนาสายพันธุ์มนุษย์” เอง ความรู้ทางการแพทย์สามารถบอกได้ว่าการที่คุณมีลูก ลูกคุณจะมีแนวโน้มเป็นโรคพันธุกรรมอะไรบ้าง แต่รัฐบังคับให้คุณไม่มีลูกหรือจับคุณไปทำหมันไม่ได้
และมันก็เลยกลับมาที่วิจารณญาณของคุณเองที่จะ “แพร่พันธุ์” ต่อไปหรือไม่ทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์บอกชัดเจนว่าสายพันธุ์ของคุณ “ไม่ดี”
อ้างอิง
- PopSci. America has a long history of forced sterilization. https://bit.ly/3uCDOPw
- Reuters. Japanese to compensate victims of forced sterilization. https://reut.rs/3byzJVl
- NewStaetsman. The eugenics movement Britain wants to forget. https://bit.ly/3uCz0tF
- Wikipedia. Eugenics. https://bit.ly/3faqXNV
- Wikipedia. Compulsory sterilization. https://bit.ly/3fdAzrA
- Wikipedia. Compulsory sterilization in Sweden. https://bit.ly/3exwPBO