รู้ไหม ตัว @ ที่คุณใช้แท็กเพื่อนทุกวันนี้ เกิดขึ้นเพราะพระขี้เกียจคัดลายมือ
คนอิตาเลียนเรียกมันว่า ‘ตัวทาก’ คนดัตช์เรียกมันว่า ‘หางลิง’ และคนไทยเรียกมันว่า ‘แอด’ ทั้งสามชื่อจากคนสามชาตินั้นมีไว้เรียกสิ่งเดียว สิ่งนั้นคือสัญลักษณ์ ‘@’
วิถีชีวิตของคนปัจจุบันที่ผูกพันเหนียวแน่นเข้ากับอินเทอร์เน็ต คุณอาจจะคุ้นเคยตัว @ เพราะต้อง ‘แท็ก’ เพื่อนในเฟซบุ๊กหรือ ‘เมนชั่น’ ในทวิตเตอร์บ่อยๆ หรือส่ง ‘อีเมล’ หลายๆ คนอาจคิดว่ามันเป็นสัญลักษณ์น้องใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของคนยุคเทคโนโลยี
แต่คุณรู้ไหมว่า จริงๆ แล้วเจ้า ‘แอด’ นี้ มันกลับ ‘แก่’ กว่าที่เราคิดไว้มาก และถ้าคุณจะนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูการกำเนิดของมัน คุณอาจต้องย้อนกลับไปนานกว่า 5 ศตวรรษ หรือบ้างก็เชื่อว่าต้องย้อนไปนานกว่านั้นซะอีก
ตัวแอดมีเรื่องราวการกำเนิดที่ลึกลับ มีทฤษฎีข้อถกเถียงมากมายว่าเจ้าแอดนี้กำเนิดมาจากไหน แต่ที่แน่ๆ คือหลักฐานส่วนมากชี้ว่ามันไม่ได้กำเนิดครั้งแรกในยุคเทคโนโลยีอย่างที่เราหลายคนเข้าใจกัน
พระเมื่อยมือ
ก่อน ‘กูเตนแบร์ก’ (Johannes Gutenberg) จะมาปฏิวัติโฉมหน้าวงการสิ่งพิมพ์โลกด้วยการคิดค้นแท่นพิมพ์โลหะ การทำหนังสือหรือพิมพ์หนังสือเป็นเรื่องของการ ‘ใช้มือ’ ล้วนๆ แน่นอนว่า ‘พระคัมภีร์’ ก็เป็นหนึ่งในหนังสือที่ต้องพิมพ์ขึ้นเรื่อยๆ และวิธีที่ ‘พระ’ ในศาสนจักรใช้คือการ ‘คัดลอก’ ต้นฉบับเป็นอย่างไร เขียนตามอย่างนั้น อารมณ์เหมือนโดนอาจารย์สั่งคัดลายมือซ้ำๆ นี่ล่ะ
สมัยเรียนเราเมื่อยมือจากการโดนคัดลายมือฉันใด พระสมัยยุคกลางก็ไม่ต่างกัน เพราะอย่างนั้น การเขียน ‘ชวเลข’ (Shorthand) จึงเข้ามามีบทบาท สำหรับใครที่ไม่ทราบว่าชวเลขคืออะไร อธิบายง่ายๆ มันเป็นวิธีการเขียนข้อความอย่างย่อ โดยใช้สัญลักษณ์หรือคำย่อเพื่อแทนคำพูด
บางทฤษฎีกล่าวว่า @ มาจากคำภาษาละติน ‘ad’ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า toward โดยเขียนตัว a แล้วตวัดหางขึ้นมาเพื่อแทนตัว d บางทฤษฎีบอกว่ามันมาจากภาษาฝรั่งเศส ‘à’ บางทฤษฎีสันนิษฐานว่าเป็นคำย่อของคำว่า ‘each at’ โดยเขียนตัว e ให้ครอบตัว a
พ่อค้ารีบจด
หลักฐานแรกที่ปรากฏการใช้ตัว @ ภายนอกศาสนจักร เป็นเอกสารของ ‘ฟรานเซสโค ลาปี’ (Francesco Lapi) พ่อค้าชาวฟลอเรนซ์ เขาใช้สัญลักษณ์ @ เพื่อแทน ‘แอมโฟเร’ (amphorae) ที่เป็นหน่วยของการนับปริมาณไวน์เท่ากับหนึ่งโอ่งดินใหญ่ ยกตัวอย่างการใช้เช่น ไวน์สองแอมโฟเร จะหมายถึง ไวน์สองโอ่งดินใหญ่ นั่นเอง
หลังจากนั้น ตัว @ ก็เข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ทางการค้าขาย เหล่าพ่อค้ามักใช้มันแทน ‘อัตราหน่วยละ’ (at the rate of) เช่น กรรไกร 12 ชิ้นอัตราหน่วยละ 1 บาท เวลาคิดเงินก็จะคิดเป็น 12 บาท เพราะกรรไกร 12 ชิ้น ขายชิ้นละ 1 บาท
เข้าสู่ยุคเครื่องจักรและเทคโนโลยี
เมื่อเข้าสู่ยุคเครื่องจักร (the machine age) หรือในราวๆ ปี 1880-1945 ตัว @ ถูกหลงลืมหายไปบ้าง ในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ‘เครื่องพิมพ์ดีด’ ที่ถูกคิดค้นขึ้นราวๆ กลางศตวรรษ 1800 สัญลักษณ์ @ ก็ไม่ได้อยู่ในแป้นพิมพ์ เช่นเดียวกับในระบบบัตรเจาะรู (punch-card) ในช่วงแรกๆ
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในปี 1971 เมื่อ ‘เรย์ ทอมลินสัน’ (Ray Tomlinson) นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากบริษัท BBN Technologies พยายามคิดค้นวิธีเชื่อมต่อโปรแกรมเมอร์จากแต่ละเครื่องเข้าด้วยกันในระบบ ‘Arpanet’ ซึ่งคือระบบเบิกทางให้กับการสร้าง ‘อินเทอร์เน็ต’ อย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน
โจทย์ปัญหาคือเรย์ต้องการหาวิธีส่งข้อความหาอีกคนที่อยู่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย Arpanet ด้วยกัน โดยการส่งมีเงื่อนไขคือต้องระบุชื่อของผู้รับ กับชื่อของคอมพิวเตอร์ผู้รับ โดยที่สองอย่างนั้นต้องถูกคั่นกลางด้วยสัญลักษณ์ซึ่งยังไม่ค่อยถูกใช้ในการโปรแกรมและในระบบปฏิบัติการนี้มาก่อน เพื่อเป็นการไม่ให้ระบบคอมพิวเตอร์สับสน
ในตอนนั้นเรย์มีทางเลือกระหว่างเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) หรือเครื่องหมายจุลภาค (,) และยังมีเครื่องหมายเท่ากับ ) ด้วย
“ผมพยายามจะหาสัญลักษณ์ที่คนเขาไม่ค่อยใช้กัน” เรย์ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Smithsonian และท้ายที่สุด เขาก็เลือกใช้ @ สัญลักษณ์ซึ่งอยู่เหนือตัว P ของระบบแป้นพิมพ์ 33 ตัวอักษรของเครื่องโทรพิมพ์ และหลังจากนั้น มันก็วิวัฒนาการมาอย่างที่เราเห็นๆ กันในปัจจุบัน
อินเทอร์เน็ตคือนวัตกรรมยิ่งใหญ่ที่พลิกโฉมชีวิตผู้คนไปตลอดกาล แต่ใครก็จะไปนึกว่าสัญลักษณ์ @ ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงคนหลายล้านในโลกอินเทอร์เน็ตเข้าด้วยกัน จะมีที่มาเล็กๆ ไม่ลึกล้ำ แต่เข้าใจได้ อย่างการที่พระขี้เกียจคัดลายมือนี่เอง
แล้วคุณล่ะ เคยขี้เกียจคัดลายมือจนเผลอสร้างสัญลักษณ์เป็นของตัวเองบ้างหรือเปล่า?
อ้างอิง
- Smithsonian Magazine. The Accidental History of the @ Symbol. https://bit.ly/3uNSywc
- WIRED. May 4, 1536: CU @ the Piazza. https://bit.ly/38mVhFr
- Wikipedia. Machine Age. https://en.wikipedia.org/wiki/Machine_Age