Select Paragraph To Read
- Six Degrees of Separation มนุษย์เชื่อมโยงถึงกันผ่านคน 6 คน
- เชื่อมโยง ‘สุชัชวีร์’ ถึง ‘ไอน์สไตน์’ ต้องไปให้ถึงทายาทตัวจริงก่อน
ชื่อของ ‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ (Albert Einstein) นักฟิสิกส์ซึ่งถูกยกเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของโลก กลายเป็นคำยอดนิยมที่คนไทยค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตพอๆ กับชื่อ ‘เฮอร์เบิร์ต ไอน์สไตน์’(Herbert Einstein) จากสถาบัน MIT ในสหรัฐฯ หลังจาก ‘เอ้ สุชัชวีร์’ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เปรียบตัวเองเป็นทายาทสายตรงไอน์สไตน์ เพราะเคยเรียนหนังสือกับเฮอร์เบิร์ต ซึ่งสุชัชวีร์ระบุว่าเป็นหลานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ต่อมา เว็บไซต์มติชนรายงานว่าได้อีเมลไปสอบถามเฮอร์เบิร์ตแล้ว แต่ได้รับคำยืนยันว่าเขาไม่ใช่หลานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ทำให้คำเปรียบเรื่องทายาทไอน์สไตน์ถูกชาวเน็ตตั้งคำถามว่ากล่าวอ้างเกินจริงไปหรือไม่ แต่ถ้าใช้ ‘ทฤษฎีหกช่วงคน’ มาพิจารณาเรื่องนี้ก็มีแนวโน้มที่สุชัชวีร์จะเชื่อมโยงไปถึงทายาทไอน์สไตน์ตัวจริงได้เหมือนกัน
Six Degrees of Separation มนุษย์เชื่อมโยงถึงกันผ่านคน 6 คน
‘ทฤษฎีหกช่วงคน’ หรือ ‘Six Degrees of Separation’ คือการตั้งสมมติฐานว่ามนุษย์ทั้งโลกสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ผ่านคนไม่เกิน 6 คน เช่น ประชาชนในจังหวัดห่างไกลของไทยอาจเชื่อมโยงไปถึง โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผ่านทางคนรู้จักที่เป็นข้าราชการท้องถิ่น และข้าราชการท้องถิ่นคนนั้นอาจเคยมีโอกาสต้อนรับหรือพูดคุยกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ที่เคยมีโอกาสพบปะกับทรัมป์มาก่อน ซึ่งโยงได้ไม่เกิน 6 ช่วงคน จนอาจสรุปสั้นๆ ว่าเป็น ‘ทฤษฎีโลกกลม’
จุดเริ่มต้นของทฤษฎีนี้มาจากเรื่องสั้นซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี 1929 โดย ‘ฟรีเจส คารินธี’ (Frigyes Karinthy) นักเขียนชาวฮังการีที่มีไอเดียว่ามนุษย์เราสามารถเชื่อมโยงกับคนที่เราไม่รู้จักผ่านคนที่เราเคยเชกแฮนด์ทักทายไม่เกิน 6 คน และมีคนนำไปทำเป็นหนัง รวมถึงทำวิจัยต่อยอดจริงๆ เพื่อหาข้อพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
คนที่ศึกษาเรื่องนี้ครั้งแรกๆ คือ สแตนลีย์ มิลแกรม (Stanley Milgram) และเจฟฟรีย์ เทรเวอส์ (Jeffrey Travers) นักวิจัยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทดสอบทฤษฎีนี้ในปี 1969 โดยให้กลุ่มเป้าหมาย 296 คนที่อาศัยอยู่ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และในรัฐเนแบรสกา สอบถามใครก็ได้ที่ตัวเองรู้จัก เพื่อหาทางส่งจดหมายไปยังนายหน้าค้าหุ้นคนหนึ่งในบอสตันที่เป็นจุดหมายปลายทางในการทดลอง
ผลปรากฏว่าคนที่ร่วมทดลองสามารถส่งจดหมายไปยังนายหน้าคนดังกล่าวได้ รวม 64 ฉบับ โดยอาศัยกลุ่มคนที่พวกเขารู้จัก รวมถึงเครือข่ายเพื่อนของเพื่อนของคนรู้จักอีกต่อหนึ่ง ทำให้มีการสรุปว่าค่าเฉลี่ยที่คนไม่รู้จักกันโดยตรงจะสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อยู่ที่ประมาณ 6.2 ช่วงคน
หลังจากนั้น ในปี 2008 เอริก ฮอร์วิตซ์ (Eric Horvitz) และ ยูรี เลสโกเวก (Jure Leskovec) นักวิจัยของไมโครซอฟท์ ก็ทดสอบทฤษฎีนี้โดยอาศัยบริบทสังคมยุคดิจิทัล และใช้ข้อมูลการติดต่อสนทนาผ่านอีเมลกว่า 30,000 ล้านฉบับของประชากร 180 ล้านคนในหลายประเทศทั่วโลก พบว่าการเชื่อมโยงถึงกันของคนแต่ละซีกโลกในระยะห่างโดยเฉลี่ยประมาณ 6.6 ช่วงคน ‘มีอยู่จริง’
แต่งานวิจัยของทั้งสองคนหลังพบข้อบ่งชี้ว่าค่าเฉลี่ยที่คนทั่วโลกจะเชื่อมโยงถึงกันได้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 ช่วงคนมากกว่า โดยอ้างอิงข้อมูลการส่งต่ออีเมล 78 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มทดลอง และตัวเลขของผู้คนที่เชื่อมโยงกันในระยะห่างที่สุดในการวิจัยครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 29 ช่วงคน
อย่างไรก็ดี มีคนวิจารณ์เหมือนกันว่าการวิจัยโดยคำนึงถึงการเชื่อมโยงแค่คนที่จดหมายหรืออีเมลเข้าถึงได้ เป็นการตั้งสมมติฐานที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะคนอีกหลายล้านคนบนโลกอาจเข้าไม่ถึงระบบสาธารณูปโภคเหล่านี้ และการที่จะเชื่อมโยงคนอีกซีกโลกกับคนกลุ่มนี้ก็อาจไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เชื่อมโยง ‘สุชัชวีร์’ ถึง ‘ไอน์สไตน์’ ต้องไปให้ถึงทายาทตัวจริงก่อน
ย้อนกลับมาดูที่ไทย คนจำนวนมากสงสัยเรื่องตรรกะเชื่อมโยงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่ ‘สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ อดีตอาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมโยธาและอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดตัวในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ที่สามย่านมิตรทาวน์เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม
สุชัชวีร์เปรียบตัวเองเป็น ‘ทายาทสายตรงไอน์สไตน์คนเดียวในแผ่นดินไทย’ ซึ่งหมายถึงอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเยอรมันผู้ล่วงลับไปนานแล้ว แต่ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะและเป็นเจ้าของทฤษฎีมากมาย โดยเขาเชื่อมโยงตัวเองถึงไอน์สไตน์คนนั้นผ่าน ดร.เฮอร์เบิร์ต ไอน์สไตน์ (Herbert Einstein) อาจารย์ที่ปรึกษาในสมัยที่เขาเรียนต่อปริญญาเอกที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ในสหรัฐอเมริกา และเว็บไซต์ไทยโพสต์เผยรายละเอียดแบบคำต่อคำว่า
“อาจารย์ผมคือ Prof. Herbert Einstein หลานแท้ๆ ของ Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก เมื่อคืนเขียนอีเมลไปหาอาจารย์ว่า ขอบคุณอาจารย์สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง Herbert Einstein เป็นคนยิวครับ อายุเท่าคุณพ่อคุณแม่ผม เกิดวันที่ 31 มกรา ผมโทร Happy Birthday ทุกปี คนไทยชนะใจคนด้วยความกตัญญูกตเวทีครับ”
“คนยิว เขามีความมุ่งมั่น ขยันอดทนมีวินัย สมองไม่ได้มีมากกว่าคนไทย ถ้าเกิดคนไทย ขยัน มุ่งมั่น อดทน มีวินัยเหมือนคนยิว ชนะคนยิวครับ ผมพิสูจน์มาแล้ว เพราะผมนี้ถือว่าเป็นทายาทสายตรงไอสไตน์ คนเดียวในแผ่นดินไทยเลยครับ ภูมิใจมากครับอาจารย์ ท่านเป็นวิศวกรด้านอุโมงค์มือหนึ่งของโลก จบที่เดียวกับอัลเบิร์ต ไอสไตน์ นี่แหละครับ”
ต่อจากนั้น เว็บไซต์มติชนก็รายงานว่าได้ส่งอีเมลไปสอบถามศาสตราจารย์เฮอร์เบิร์ตแห่ง MIT ได้รับคำตอบว่าเขาไม่ใช่หลานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แต่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของสุชัชวีร์จริง พร้อมชมว่าสุชัชวีร์เป็นนักศึกษาที่ดีคนหนึ่ง
ขณะที่เฟซบุ๊กเพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว เผยแพร่คำชี้แจงของสุชัชวีร์ที่ระบุว่าเขาเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจมาตลอดว่าเฮอร์เบิร์ตเป็นหลานของอัลเบิร์ต เพราะได้รับคำบอกเล่าจากรุ่นพี่ที่เรียน MIT อยู่ก่อน พร้อมย้ำว่า “ไม่ได้มีเจตนาจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อใช้ในการหาเสียง” และมีผู้จบการศึกษาจาก MIT อีกสองคนที่เคยเรียนกับเฮอร์เบิร์ต ไอน์สไตน์ คือ ดร.ทวารัตน์ สูตะบุตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน และ ศ.ดร.บุญชัย อุกฤษฏชน อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าได้รับคำบอกเล่าเรื่องนี้จากรุ่นพี่เหมือนกัน และเคยเชื่อเหมือนกับสุชัชวีร์
ถ้าสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ตจะพบข้อมูลทายาทตัวจริงของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ปรากฏในสื่อจำนวนไม่น้อย โดยฟอร์บสเคยรายงานว่าไอน์สไตน์มีภรรยา 2 คน และลูกชายของไอน์สไตน์ที่มีทายาทสืบสายเลือดมาจนถึงปัจจุบัน คือ ฮานส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Hans Albert Einstein) วิศวกรและอาจารย์ด้านวิศวกรรมไฮดรอลิกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ในสหรัฐฯ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 1973
ฮานส์มีลูกชายที่เป็นทายาทสายตรง 3 คน แต่สองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก คนที่อายุยืนและมีลูกหลานสืบต่อมามีคนเดียว ชื่อว่า เบิร์นฮาร์ด ซีซาร์ ไอน์สไตน์ (Bernhard Caesar Einstein) ซึ่งก็เป็นวิศวกรเช่นกัน เคยทำงานให้กับบริษัท Texas Instrument ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ แต่เบิร์นฮาร์ดเสียชีวิตไปเมื่อปี 2008 ส่วนลูก 4 คนของเขายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งถ้าจะสืบหาความเชื่อมโยงของสุชัชวีร์กับไอน์สไตน์ คงต้องหาทางเชื่อมโยงกับทายาทตัวจริงเหล่านี้ให้ได้ก่อน และความเชื่อมโยงที่เห็นอยู่จุดหนึ่งคืออย่างน้อยๆ พวกเขาก็อยู่ในวงการวิศวกรเหมือนกัน
อ้างอิง:
- Thaipost. ประชาธิปัตย์จัดให้! อ่านคำต่อคำ ‘เอ้ สุชัชวีร์’ โตเกียวทำได้ ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่พลเมือง กรุงเทพฯก็ต้องทำได้เช่นกัน. https://bit.ly/3DVJiJ2
- FB สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว. คำชี้แจงอย่างเป็นทางการของ ‘ดร.สุชัชวีร์’ กรณี หลานไอน์สไตน์. https://bit.ly/3s7GRRi
- Forbes. Einstein Was A Formidable Genius, But What About His Kids? https://bit.ly/3GNLCD
- The Guardian. Proof! Just six degrees of separation between us. https://bit.ly/3EZxxCH
- Harvard Business Review. The Science Behind Six Degrees. https://bit.ly/3yyND3R