‘มีขน’ หรือ ‘ไม่มีขน’ อะไรดีกว่ากัน? ขึ้นอยู่กับค่านิยมของยุคสมัยแต่ ‘โกนขนเพื่อความงาม’ เริ่มที่อเมริกา
การโกนขน (ทุกส่วนของร่างกาย) ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นพร้อมกับผลิตภัณฑ์กำจัดขน หรือเทคโนโลยีเลเซอร์ขนชนิดต่างๆ ในยุคทุนนิยมเท่านั้น แต่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ เกิดขึ้นเพราะความเชื่อ หรือคติบางอย่างในสังคม
ในยุคอียิปต์โบราณ ยุคกรีก รวมถึงยุคจักวรรดิโรมัน เชื่อว่าการ ‘ไม่มีขน’ ถือเป็นการทำให้ร่างกายสะอาด ยิ่งไม่มีขนก็ยิ่งบริสุทธิ์และทำให้แข็งแรงมากขึ้น ดังนั้น การโกนขนในยุคนั้นเป็นเรื่องที่ถือปฏิบัติกันทั้งชายและหญิง
ขณะที่ในเอเชียตะวันออกอาจสวนทางกัน เพราะวัฒนธรรมหลักอย่างจีนยุคหนึ่งในอดีตจะถือว่าเส้นผมเส้นขนนับเป็น ‘อวัยวะที่พ่อแม่มอบให้มา’ ห้ามตัด ห้ามโกน เพราะฉะนั้นเวลาเราดูหนังจีนพีเรียดก็มักจะเห็นตัวละครไว้ผมยาว คิ้วเรียงสวยทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ประเทศเกาหลียุคหนึ่งก็ถือว่าขนบริเวณหัวหน่าวเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่เติบโตเข้าสู่วัยสาวแล้ว และบ่งบอกถึงสุขภาวะทางเพศอีกด้วย ทำให้ช่วงหนึ่งมีรายงานว่าผู้หญิงเกาหลีนิยมปลูกขนบริเวณหัวหน่าวเพิ่มมากขึ้นเพราะค่านิยมเช่นนี้
ปัจจุบันนี้คติความเชื่อแบบโบราณที่กล่าวไปข้างต้นได้หายไปจากสังคมแล้ว และในแง่ของสุขภาพ ขนมีประโยชน์มาก ช่วยป้องกันการสูญเสียความร้อน ช่วยดักจับฝุ่น สิ่งสกปรก และช่วยลดการเสียดสี แต่การโกนขนยังคงมีอยู่และนิยมทำกันในหมู่ของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
คำถามคือ แล้วการโกนขนเพื่อ ‘ความสวยงาม’ เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
รีเบคคา แฮร์ซิก (Rebecca Herzig) ผู้เขียนหนังสือ Plucked: A History of Hair Removal อธิบายว่า ก่อนหน้าการล่าอาณานิคม ชาวอเมริกันก็คิดว่าการ ‘มีขน’ ตามร่างกายเป็นเรื่องปกติ จนกระทั่งหลังจากการล่าอาณานิคมทำให้พวกเขาได้เห็นความเป็นอยู่ของชนเผ่า ชาวพื้นเมืองที่ไว้ขนไม่ต่างกัน คนอเมริกันจึงเริ่มทำให้ตัวเองแตกต่างจากคนป่าคนเขาด้วยการ ‘กำจัดขน’
นักธรรมชาติวิทยาชาวตะวันตกในยุคนั้นยังหยิบยกทฤษฎีที่ว่า “การที่ร่างกายไม่มีขน แสดงถึงวิวัฒนาการและแรงดึงดูดทางเพศ” ทำให้ชาวตะวันตก โดยเฉพาะชาวอเมริกันนิยมกำจัดขนเพื่อความสวยงามตั้งแต่นั้นมา
เมื่อสถานการณ์การเมืองเอื้อให้สหรัฐอเมริกากลายเป็น ‘มหาอำนาจ’ ค่านิยมและวิถีชีวิตต่างๆ ก็ถูกเผยแพร่ไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย การกำจัดขนจึงกลายเป็นการควบคุมทางสังคมเกี่ยวกับเรื่องเพศ ถึงขนาดครั้งหนึ่งในปี 1915 มีแคมเปญต่อต้านขนใต้วงแขน ผู้หญิงหลายคนจึงพะวงกับการโกน ถอน แวกซ์ เลเซอร์ขนตามร่างกายออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น ‘สื่อ’ ยังเป็นสิ่งที่เข้ามาตอกย้ำค่านิยมการกำจัดขน ‘เพื่อความสวยงาม’ ที่มีอิทธิพลมากที่สุด เช่น ในนิตยสารสำหรับผู้ชายอย่าง Playboy หรือในหนังโป๊ที่แสดงภาพสตรีไร้ขน มีให้เห็นมากหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยิ่งตอกย้ำว่าผู้หญิงสวย คือ ผู้หญิงที่ไร้ขนและมีผิวเกลี้ยงเกลา
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นอิทธิพลหนุนนำให้ผู้หญิงยิ่งรู้สึกว่า ‘ต้อง’ กำจัดขน ก่อนที่จะแต่งตัว หรือมีเซ็กส์ และหากไม่กำจัดขนก็จะทำให้สูญเสียความมั่นใจได้
อย่างไรก็ตาม ค่านิยมในสังคมถูกเปลี่ยนแปลงไปในทุกยุคสมัยอยู่แล้ว ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่ยอมรับว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องโกนหรือกำจัดขนให้เกลี้ยงเกลาให้ตรงตามความงามมาตรฐานของสังคมส่วนใหญ่ และไม่จำเป็นต้องถูกมองเป็นวัตถุทางเพศอีกต่อไป
หลายคนอาจมีคำถามว่าการกำจัดขนในยุคนี้มีไว้เพื่ออะไร? และสำหรับผู้หญิงแล้ว มันจำเป็นมากน้อยแค่ไหนกันนะ?
อ้างอิง
- CNN. Why women feel pressured to shave. https://cnn.it/3Hxpyiw
- WOMEN’S MUSEUM. The History of Female Hair Removal. https://bit.ly/3xuuY9h