รู้ไหมว่าภาวะ “คางยื่น” ของหมาบูลด็อกกับราชวงศ์ฮับส์บูร์กเกิดจากสาเหตุเดียวกัน

3 Min
3343 Views
14 Apr 2021

Select Paragraph To Read

  • ราชวงศ์คางยื่น
  • จากราชวงศ์พันธุ์แท้สู่หมาพันธุ์แท้

หลายร้อยปีก่อนในยุโรป ภาวะ “คางยื่น” หรือ “ฟันล่างงับฟันบน” (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mandibular Prognathism) เรียกได้ว่าเป็นคุณลักษณะที่ “ดี” หรือภาวะแบบนี้ไม่ใช่ภาวะที่ใครก็มี ซึ่งให้ตรงกว่านั้น มันเป็นลักษณะของรูปหน้าของคนในราชวงศ์

ราชวงศ์คางยื่น

ราชวงศ์ที่ปกครองหลายประเทศยุโรปในยุคนั้นคือราชวงศ์ฮับส์บูร์ก และราชวงศ์นี้ไม่ได้ครองแค่ประเทศเดียว แต่ราชวงศ์ที่มีรากฐานมาจากออสเตรียนี้แพร่อำนาจและครองหลายประเทศเลย

โดยรูปหน้าของคนในราชวงศ์นี้ไม่เหมือนสามัญชนเพราะภาวะ “คางยื่น” จนมีคำเรียกว่า “กรามแบบฮับส์บูร์ก” (Habsburg’ s Jaw) เอาไว้เรียกลักษณะพิเศษบนใบหน้าของคนในราชวงศ์นี้เอง

โลโอโปลด์ที่ 1 แห่งฮังการี โครเอเชีย โบฮีเมีย | Wikipedia

แน่นอน ในยุคที่สังคมชนชั้นเข้มข้น การที่เชื้อพระวงศ์หน้าตาไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องก็ดูจะเป็นลักษณะพิเศษที่ตอกย้ำว่า “ราชวงศ์” เป็นสิ่งมีชีวิตอีกประเภทที่สูงศักดิ์กว่าสามัญชนแบบเทียบกันไม่ได้

ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน | Wikipedia

แต่หลังๆ นักวิทยาศาสตร์วิจัยและพบแล้วว่าลักษณะ “คางยื่น” นี้เกิดเพราะยีนด้อย และผลของยีนพวกนี้จะเด่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการสมสู่และสืบพันธุ์กันในหมู่ญาติใกล้ชิด และนี่เป็นสิ่งที่ราชวงศ์ในอดีตนิยมกัน เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้สายเลือดสามัญชนเข้ามา “แปดเปื้อน”

แน่นอน เราเคยนำเสนอแล้วว่าการสมสู่ในหมู่ญาติใกล้ชิดในราชวงศ์จะทำให้ระดับสติปัญญาค่อยๆ ต่ำลง (ดูได้ที่: https://www.brandthink.me/content/cross-cousin-marriage/) แต่จริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่อง “ภายใน” เท่านั้น แต่ภาวะภายนอกอย่าง “คางยื่น” ก็เป็นผลของกระบวนการแบบเดียวกัน

ซึ่งส่วนหนึ่งนี่ทำให้ราชวงศ์ที่เคยรุ่งเรืองอย่างฮับส์บูร์กต้องเสื่อมอำนาจ เพราะในที่สุดการสมสู่ในแบบนี้ ได้ผลิตกษัตริย์ที่ทั้งด้อยปัญญา รูปลักษณ์บิดเบี้ยว และกระทั่งไม่สามารถมีลูกได้ และสร้างความวุ่นวายหลังจากตายลง เพราะไม่มี “ลูก” จะขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

ชาร์ลที่ 2 แห่งสเปนกับคางยื่นระดับตำนาน | Wikipedia

แน่นอน หลังจากราชวงศ์ฮับส์บูร์กอยู่ในขาลง การสืบพันธุ์กันในหมู่ราชวงศ์ก็เข้มข้นน้อยลง และทำให้ลูกหลานของราชวงศ์ที่เหลือมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้มีความบิดเบี้ยวทั้งหน้าตาและสติปัญญาแบบราชวงศ์ฮับส์บูร์กในยุค “รุ่งเรือง” อีก

ออตโต วอน ฮับส์บูร์ก มกุฎราชกุมารฮับส์บูร์กคนสุดท้ายที่หลังจากเปลี่ยนการปกครองก็มีเล่นการเมืองแทน | Wikipedia

ทั้งหมดเกิดจากการถอยห่างจากการพยายามจะสร้าง “ราชวงศ์พันธุ์แท้” อย่างไรก็ดีชะตากรรมของความ “คางยื่น” จากยีนด้อยก็ยังไม่หมดไปจากโลก

จากราชวงศ์พันธุ์แท้สู่หมาพันธุ์แท้

ในมนุษย์ การสมสู่ในหมู่ญาติใกล้ชิดกันเป็นปกตินั้นดูจะเป็นเรื่องในอดีตของราชวงศ์ในหลายประเทศเท่านั้น ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว แต่ในสัตว์ที่มนุษย์ทำการคัดเลือกสายพันธุ์มาผสมเพื่อให้ได้รูปลักษณ์บางอย่างนั้น อะไรพวกนี้กลับเป็นเรื่องปกติมาก

ใช่ครับ เรากำลังพูดถึงน้องหมา

ไอ้ที่เราเห็น “หมาหน้าสั้น” น่ารักๆ กันทั้งหลาย เอาจริงๆ หน้าตามันเมื่อ 100 ปีก่อนไม่ได้แบบนี้ คือทุกวันนี้หน้าตามันผิดรูปสุดๆ และลักษณะ “คางยื่น” ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ตรงนี้เราอยากจะยกตัวอย่างของหมาที่ถือว่าถูกเพาะพันธุ์จนร่างกาย “ผิดรูป” ที่สุดอย่างบูลด็อก

ซึ่งผิดรูปแค่ไหน เอาง่ายๆ คือมันเป็นหมาที่อายุเฉลี่ยต่ำที่สุด และที่โหดกว่านั้นก็คือโครงสร้างร่างกายมันผิดรูประดับที่คลอดลูกเองไม่ได้น่ะครับ

แต่ถามว่าพวกมันเป็นแบบนี้มาตลอดเหรอ? คำตอบคือไม่ใช่ ไปดูหน้าตาพวกมันช่วงร้อยกว่าปีก่อน เราก็จะเห็นว่าร่างกายมัน “สมส่วน” กว่านี้

แต่หลังจากมนุษย์ได้ทำการพยายามขยาย “ลักษณะเด่น” ของมันเพื่อ “ความสวยงาม” ผลก็คือ หน้าตามันอย่างทุกวันนี้ ซึ่งบางคนก็อาจบอกน่ารัก แต่จริงๆ แล้วลักษณะแบบนี้ไม่ได้ดีต่อสุขภาพของพวกมันในฐานะของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเท่าไร เพราะก็คงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่จะพอใจที่ตัวเองต้องเกิดมาพร้อมกันโรคประจำตัวมากมายไปจนถึงมีอายุเฉลี่ยต่ำกว่าสายพันธุ์ตัวเอง

ซึ่งนี่แหละครับ ด้านหนึ่งเราอาจมองว่ามัน “น่าขัน” ที่ราชวงศ์ในอดีตนั้นพยายามจะเป็น “พันธุ์แท้” กันจนหน้าตาบิดเบี้ยว แต่จริงๆ มนุษย์ปัจจุบันก็ทำแบบนี้กับ “เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์” จำนวนมากอยู่ และมันไม่ใช่บูลด็อกเท่านั้น หมาจำนวนไม่น้อยถูกมนุษย์เพาะพันธุ์ให้หน้าตาออกมาบิดเบี้ยวในนามของความน่ารัก

ทั้งนี้ เราก็ไม่ได้บอกให้ต้อง “แอนตี้” เหล่าหมาหน้าสั้นนะครับ แต่ก็อาจเหมือนราชวงศ์ฮับส์บูร์กน่ะแหละ เราต้องสนับสนุนให้มีการผสมพันธุ์ “ข้ามสายพันธุ์” ขึ้น เพื่อสุขภาพของลูกหลานของพวกมันเอง

อ้างอิง: