Guy Ritchie ผู้กำกับที่ประกาศตัวตนว่าเป็นคน ‘ไร้สไตล์’ “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายสไตล์ของศิลปินคนใดคนหนึ่ง”
อาจจะเป็นเรื่องที่ดูลักลั่นย้อนแย้งไปสักนิด สำหรับคำจำกัดความที่ กาย ริชชี (Guy Ritchie) บอกถึงสไตล์ผลงานของเขา ซึ่งในผลงานของเขาหลายต่อหลายเรื่อง ต่อให้คุณดูเพียงไม่กี่วิฯ สำหรับคอหนังก็แทบเดาได้ว่านี่คือผลงานของเขา
เรามาทำความรู้จักตัวตนของผู้กำกับที่ขณะนี้มีผลงานชนกันโครมถึง 2 เรื่องในโรงภาพยนตร์โดยมิได้นัดหมายกันดีกว่า
กาย ริชชี ไม่ได้เรียนฟิล์มมา
กาย ริชชี เป็นพลเมืองชาวแฮตฟิลด์ ประเทศอังกฤษ ด้วยความรักหนังเข้าเส้น และไม่ศรัทธาในระบบการศึกษา ทำให้เขาเลือกเดินออกจากระบบการศึกษาและมุ่งหน้าทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตั้งแต่อายุ 15 ปี เขารับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในกองถ่าย และเก็บหอมรอมริบทำหนังสั้นเพื่อบรรลุฝันของเขา จนสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นหนังเรื่อง The Hard Case (1995) หนังสั้นความยาว 20 นาที ที่เสมือนเป็นภาคต้นและใบเบิกทางสู่การทำหนังอาชญากรรมเรื่องเยี่ยมอย่าง Lock, Stock and Two Smoking Barrels (1998) ที่เป็นต้นขั้วแห่งหนังอาชญากรรมยุคใหม่ ที่เต็มเปี่ยมด้วยสไตล์และการตัดต่อที่โคตรวัยรุ่นในเวลาต่อมา ความไม่ยึดตามทฤษฎีหลักการทำหนังของเขาอาจจะเป็นหนทางสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่มีสไตล์เฉพาะตัวอันโดดเด่นก็เป็นได้
เวียนวนในดงอาชญากรรม
แม้ว่าหนังของ กาย ริชชี จะมีอยู่มากมายหลายแนว แต่แนวทางที่ทำให้คนดูรู้จักและคุ้นชิน คือหนังแนว Crime-Gangster จากงานสร้างชื่อของเขา Lock, Stock and Two Smoking Barrels (1998) สู่การตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้กำกับจอมเดือดด้วยหนัง Snatch (2000) ที่ได้นักแสดงบิ๊กเนมอย่าง แบรด พิตต์ มาร่วมแสดง จากนั้นแม้ว่าเขาจะหันเหไปทำงานหลากหลายแนว แต่หนังอาชญากรรมก็เปรียบเสมือนบ้านหลังเก่าที่เขาเลือกจะหวนกลับคืนมาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Revolver (2005), RocknRolla (2008), The Gentlemen (2019) มาจนถึง Operation Fortune: Ruse de Guerre (2023) หนังเรื่องล่าสุดก็เกี่ยวพันกับแวดวงอาชญากรรมใต้ดินเช่นกัน
นอกเหนือจากนั้น แม้จะไม่ได้ข้องแวะกับเรื่องราวอาชญากรรม แต่เกินครึ่งของผลงานเขาก็มักจะข้องเกี่ยวกับเขม่าดินปืนอยู่เสมออีกด้วย
เจ้าพ่อ Jump Cut
องค์ประกอบโดดเด่นจนกลายเป็นลายเซ็นประจำตัวของ กาย ริชชี คือการตัดต่อแบบโดดๆ หรือในศัพท์ภาพยนตร์เรียกว่า Jump Cut โดยไม่คำนึงถึงความต่อเนื่องของเนื้อเรื่อง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความร้อนแรงทางอารมณ์ โดยริชชีแจ้งเกิดแนวทางนี้ตั้งแต่ Lock, Stock and Two Smoking Barrels แต่ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งคือหนัง Snatch รวมไปถึงการวางเฟรมคู่ขนานที่ทำให้เกิดมุมมองของตัวละครที่แตกต่างแต่สอดประสานไปในแนวทางเดียวกัน ก็เป็นอีกหนึ่งสไตล์อันน่าจดจำของเขา
การตัดต่อฉับไว ส่งผลให้หนังอย่าง Sherlock Holmes (2009), Sherlock Holmes: A Game of Shadows (2011) รวมไปถึงหนัง King Arthur: Legend of the Sword (2017) ที่นำเสนอเรื่องราวย้อนยุคแต่ถูกเล่าแบบใหม่ ทำให้ไม่น่าเบื่อและกลายเป็นงานที่โดดเด่นไปในทันที
แม้สไตล์โดดเด่นโลดโผนโจนทะยานบนจอของเขา จะถูกประทับตราจนกลายเป็นลายเซ็นที่โดดเด่นอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อเอ่ยถามถึงสไตล์หรือคำจำกัดความของ กาย ริชชี เขาเองก็มักจะออกตัวอยู่เสมอว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายสไตล์ของศิลปินคนใดคนหนึ่ง” อย่างไรก็ดี เมื่อชื่อของเขาปรากฏขึ้นมาในหนังเรื่องใดๆ ความโดดเด่นที่กล่าวมาข้างต้นก็ช่วยผลักดันความอยากดูขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวทุกที
Operation Fortune: Ruse de Guerre และ The Covenant กำลังฉายในโรงภาพยนตร์