Guardian of the Galaxy Vol.3 รากเหง้าเคล้าน้ำตา และการเผชิญหน้ากับอดีตอันแสนเจ็บปวด
แม้ว่าภาพของหนังจะถูกฉาบเคลือบไปด้วยความร้อนแรงของ Pop Culture ผ่านดนตรีประกอบของเพลงฮิตในยุคสมัยที่แตกต่างในแต่ละภาค และคาแรกเตอร์อันยียวนกวนประสาทของหน่วยพิทักษ์จักรวาลสุดเกรียน แต่ในความเป็นจริง ‘Guardian of the Galaxy’ แทบทุกภาค คือการนำเสนอความรันทดหดหู่ของชะตากรรมตัวละคร และความทรงจำเลวร้ายที่ตกกระทบสู่ปัจจุบันเสียมากกว่า
โดยเฉพาะภาค Guardian of the Galaxy Vol.3 ที่แสงไฟแห่งความปวดร้าวก็เลือกสาดส่องไปยัง ‘ร็อกเก็ต’ (ให้เสียงพากย์โดย แบรดลีย์ คูเปอร์) แรคคูนปากแจ๋ว ที่ปกติจะถูกขับเคลื่อนด้วยความเกรียนและความกวนในแทบทุกครั้งที่ปรากฏตัว แต่ในครั้งนี้การฉายภาพอดีตที่เจ็บปวด ก็ทำให้พบว่าตัวร็อกเก็ตเองก็มีอดีตที่สะบักสะบอมไม่ต่างกันกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ
เขาถูกจับมาทำการทดลอง ถูกพรากจากฝูงเพื่อนของเขา ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว และที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือการได้เห็นเพื่อนสัตว์ที่ถูกกักขังร่วมกันในสภาพพิกลพิการถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา นำมาสู่การทำร้าย ‘ไฮ เอโวลูชันนารี’ (ชุควูดี อิวูจิ) และหลบหนีจนได้พบกับเพื่อนร่วมก๊วนในเวลาต่อมา และชนวนแห่งความแค้นนี้ก็นำมาซึ่งเส้นเรื่องหลักของภาคนี้เช่นกัน เมื่อเหล่าเพื่อนๆ ต้องเดินทางไปยังถิ่นกำเนิดของร็อกเก็ตเพื่อไปค้นหาอดีตอันปวดร้าว และหาทางช่วยชีวิตเขาที่ผูกติดระเบิดไว้กับหัวใจในการทดลองผ่าตัดในวัยเด็กของเขา
เจมส์ กันน์ (James Gunn) ผู้กำกับที่รับผิดชอบชะตากรรมของซูเปอร์ฮีโร่ทีมนี้มาตั้งแต่ภาคแรก และทำหนังเรื่องนี้เพื่อทิ้งทวนก่อนจะย้ายไปบริหาร DC อย่างเป็นทางการ เลือกใส่ภาพความโหดร้ายของสัตว์น่ารักน่าชังที่ต้องพิกลพิการจากการถูกทดลอง จนกลายเป็นแฟรงเกนสไตน์อันน่าเวทนา เพื่อแสดงให้เห็นภาพความเจ็บปวดอย่างเป็นรูปธรรม และมันสะท้อนให้เห็นซูเปอร์ฮีโร่หลายคนที่ผ่านการทดลองก่อนจะมาเป็นคนเหนือมนุษย์ผู้พิทักษ์จักรวาล เพียงแต่พวกเขาคือการทดลองที่สำเร็จ แต่กว่าจะได้ผลผลิตอันยิ่งใหญ่ ต้องผ่านการทำลายตัวทดลองมาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และถึงจะทดลองได้สำเร็จ บาดแผลในใจที่ฝังลึกก็ไม่อาจจะลบล้างไปได้เลย
ไม่เพียงแค่การสำรวจอดีตอันแสนปวดร้าวของตัวร็อกเก็ตเท่านั้น แต่หนังยังมีแอร์ไทม์เพียงพอที่จะเสนอปมช้ำของตัว ‘สตาร์ลอร์ด’ (คริส แพรตต์) ที่ยังจมปรักกับคนรักที่ไม่อาจหวนคืนจากศึกธานอสที่ผ่านมา และชอกช้ำกว่าเมื่อการหวนคืนมาของ ‘กาโมรา’ (โซอี ซัลดานา) ที่กลับสูญเสียความทรงจำจนสตาร์ลอร์ดแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้า รวมไปถึงตัวสมทบอื่นที่แบกรับชะตากรรมเลวร้ายไว้ในความทรงจำแทบทุกคน ท่ามกลางเสียงเฮและเสียงฮา จึงมีน้ำตาซ่อนอยู่อย่างตั้งใจ
สิ่งที่น่าขันของ เจมส์ กันน์ ที่ได้ให้สัมภาษณ์ถึงหนังเรื่องนี้ว่า “ทีมนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำภารกิจปกป้องโลกใดๆ เพราะแค่ปมของพวกเขาก็ย่ำแย่และเสียเวลาพอแล้วที่จะคลี่คลายมัน” เพราะท่ามกลางความรันทดของชะตากรรมที่แต่ละคนต้องเผชิญ ปมที่ยากจะคลี่คลายกลับกลายเป็นเสน่ห์และความแตกต่างจากซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไปของ Marvel และเหตุผลนี้ละมั้ง ที่ทำให้ Guardian of the Galaxy Vol.3 ยังคงโดดเด่นเป็นสง่า ท่ามกลางความผิดหวังซ้ำซากของหนังที่ผ่านมาของ Marvel ในช่วงนี้