ผ่านมาแล้ว 900 ปี! ทำไมประเพณี ‘ชุดครุย’ ยังอยู่ เคียงคู่พิธีจบการศึกษาทั่วโลก
อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ
พิธีรับปริญญาในหลายประเทศทั่วโลกเริ่มกลับมาให้เห็นกันอีกครั้ง (รวมถึงไทยด้วย) หลังจากที่ต้องเลื่อนหรือระงับไปเพราะ ‘โควิด-19’ แต่ก็มีคำถามจากคนรุ่นใหม่บางส่วนเหมือนกันว่า “ทำไมยังต้องสวมชุดครุยอยู่อีก” เพราะบางคนมองว่าชุดครุยเป็น ‘สัญลักษณ์ของความเหลื่อมล้ำ’ ที่สมควรยกเลิก และบางคนมองว่าชุดครุยนั้น ‘แพงและสิ้นเปลือง’ คนส่วนใหญ่ก็ใช้แค่ครั้งเดียว ส่วนกรณีของไทยล่าสุด มีประเด็นมหาวิทยาลัยปรับแบบชุดครุยจนคนที่ตัดชุดครุยแบบเก่ากลัวจะไม่ได้เข้าพิธีรับปริญญา ทั้งที่รอมานานแล้ว
จุดเริ่มต้นของชุดครุยและหมวก ‘เพื่อกันหนาว’
แต่ดั้งแต่เดิม ‘พิธีจบการศึกษา’ เริ่มขึ้นในยุโรป ซึ่งสื่ออเมริกันที่เก่าแก่อันดับต้นๆ The Washington Post ไล่เลียงว่า พิธีดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 12 ซึ่งสมัยนั้นการเรียนรู้ส่วนใหญ่ยังจำกัดวงอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง นอกนั้นก็เป็นสถาบันทางศาสนา
แต่กษัตริย์หรือขุนนางที่ผ่านการเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องประกาศความสามารถที่ได้จากการเล่าเรียน ขณะที่พวกพระหรือนักบวชผู้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมคำสอนตลอดจนความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องผ่าน ‘การทดสอบ’ หลังจากนั้นจึงจะได้รับการรับรองจากสถาบัน
เมื่อมีพิธีจบการศึกษาก็เลยนำไปสู่การจัดหา ‘เสื้อคลุมและหมวก’ (ซึ่งเป็นต้นแบบของชุดครุยและหมวกบัณฑิตในยุคปัจจุบัน) เพราะพิธีจบการศึกษาสมัยนั้นมักจะจัดขึ้นภายนอกอาคาร หรือห้องโถงขนาดใหญ่ที่ไม่มีระบบทำความร้อน ขณะที่สภาพอากาศในแถบยุโรปก็รู้ๆ กันว่าหนาวเย็นเสียเป็นส่วนใหญ่ การสวมเสื้อคลุมหนาหนักและหมวกคลุมศีรษะจึงมีเป้าหมายเพื่อจะให้ความอบอุ่นแก่ผู้เข้าร่วมพิธีที่ต้องใช้เวลาอันยาวนานนี้
เมื่อระบบการศึกษาถูกขยายให้ครอบคลุมถึง ‘สามัญชน’ ในยุคต่อๆ มา การสวมเสื้อคลุมและหมวกในพิธีจบการศึกษาก็ยังสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง โดยสถาบันการศึกษาเก่าแก่ติดอันดับโลกอย่างออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์มีการระบุว่า รับเอาธรรมเนียมนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ขณะที่มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของสหรัฐฯ หลายแห่งระบุว่า สืบทอดธรรมเนียมนี้มาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
หลายๆ ประเทศทั่วโลกที่รับเอาระบบการศึกษาจากอาณาจักรฝั่งตะวันตกในอดีตก็รับเอาธรรมเนียมประเพณีเหล่านี้ไปด้วยเช่นกัน ส่วนบางประเทศก็เอามาปรับใช้เพื่อสะท้อนให้เห็น ‘ความมีอารยะ’ ไม่ต่างจากชาติอื่น ต่อมาจึงได้มีการสวมชุดครุยและหมวกในพิธีจบการศึกษาระดับต่างๆ ไปจนถึงสถาบันอุดมศึกษา ทั้งยังแยกย่อยรูปแบบกับสีของชุดครุยและเครื่องประดับตกแต่งตามคณะหรือสาขาวิชาออกไปอีกมากมาย
ชุดครุยสะท้อนความเหลื่อมล้ำ?
ล่วงเลยมาจนถึงศตวรรษที่ 21 (ซึ่ง The Washington Post ประเมินคร่าวๆ ว่าก็ผ่านมาประมาณ 900 ปีแล้ว) การสวมครุยและหมวกในพิธีจบการศึกษายังคงอยู่ทั่วโลก แต่ถือว่ามาไกลจากวัตถุประสงค์ดั้งเดิมที่ต้องการให้ผู้สวมใส่รู้สึกอบอุ่นอยู่มากโข แม้แต่บางประเทศที่มีสำนวนว่า ‘ร้อนตับแตก’ ก็ยังยึดมั่นในธรรมเนียมสวมชุดครุยในพิธีจบการศึกษาเอาไว้อย่างมั่นคง
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ชุดครุยและหมวกก็ถูกตั้งคำถามมากขึ้นในยุคมิลเลนเนียลส์ว่ายัง ‘จำเป็น’ อยู่ไหม เช่นเดียวกับพิธีรับมอบปริญญาบัตรซึ่งผู้จบการศึกษาจำนวนหนึ่งมองว่า ‘ไม่ต้องมี’ ก็ได้
แต่การจะยกเลิกพิธีนี้ก็ยังต้องฟัง ‘เสียงส่วนใหญ่’ ทั้งที่เป็นนักศึกษา บัณฑิตและสถาบันการศึกษาเอง หลายมหาวิทยาลัยในโลกยุคปัจจุบันจึงเปิดให้ผู้ที่จบการศึกษาเลือกเอาเองว่าจะเข้าร่วมพิธีหรือไม่ เหมือนอย่างกรณีนักศึกษาในไทยบางมหาวิทยาลัยก็เริ่มรณรงค์ #ไม่รับปริญญา กันบ้างแล้ว
สำหรับคนที่ยังต้องการเข้าร่วมพิธีจบการศึกษาก็มีปัญหาเกี่ยวกับชุดครุยและหมวกเพิ่มขึ้นอยู่เหมือนกัน
ที่พอจะเห็นชัดๆ คือปีที่แล้ว (2021) ในพิธีจบการศึกษาระดับมัธยมปลายในเมืองแองเคอเรจของสหรัฐฯ มีนักเรียนหญิงชาวอเมริกันที่มีเชื้อสายเผ่ายูปิค (Yup’ik) กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมในรัฐอะแลสกายุคปัจจุบัน ยืนกรานจะไม่สวมหมวกสีดำที่ใช้กับชุดครุยในพิธีจบการศึกษาตามปกติ แต่จะสวม ‘เครื่องหัว’ ประดับขนนกที่เป็นธรรมเนียมเก่าแก่ของเผ่ายูปิคแทน เพื่อยืนยันสิทธิในการแสดงอัตลักษณ์ดั้งเดิมและความเชื่อส่วนบุคคล
ขณะที่ปี 2017 มีข่าวใน Business Insider และ Daily Mail ระบุว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เรียกร้องให้แบนการสวมชุดครุยในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้รวมถึงการสวมชุดครุยในพิธีจบฯ เพราะที่อยากให้แบนคือการสวมชุดครุยในห้องสอบซึ่งเป็นธรรมเนียมเฉพาะของที่นี่ โดยชุดครุยมีทั้งสำหรับนักศึกษาทั่วไป นักศึกษาทุน และชุดครุยพิเศษสำหรับนักศึกษาที่มีผลการเรียนโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ผู้ที่ทักท้วงเรื่องนี้มองว่าการมีชุดครุยที่แตกต่างกันทำให้นักศึกษาทั่วไปรู้สึกเหมือนถูกด้อยค่าและอยากให้ยกเลิก
เรื่องนี้ทำให้นักศึกษาออกซฟอร์ดกลุ่มต่างๆ ถกเถียงกันอย่างจริงจัง และก็มีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายมากด้วย เพราะมีทั้งคนที่เห็นด้วยว่าอยากให้แบนการสวมชุดครุยเข้าสอบ แต่บางคนไม่เห็นด้วยกับการแบน และย้ำว่าคนที่ผลการเรียนดีคือคนที่ทุ่มเทอย่างหนัก และสมควรได้รับ ‘รางวัล’ ซึ่งในที่นี้ก็คือชุดครุยที่ ‘แตกต่าง’ จากชุดครุยของนักศึกษาทั่วไป
นอกจากนี้ยังมีกรณีมุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศของอินเดียเสนอให้เปลี่ยนชุดครุยในพิธีรับปริญญาทั่วรัฐในปี 2015 เพราะอยากให้ชุดครุยมีความชาตินิยมมากขึ้น เนื่องจากเขาเห็นว่าชุดครุยที่ใช้อยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคมที่สมควรจะถูกปรับเปลี่ยนได้แล้ว แต่ถูกประชาชนคัดค้านจนต้องปัดตกประเด็นนี้ไป
จบพิธีแล้วชุดครุยกับหมวกอาจกลายเป็น ‘ขยะ’
นอกเหนือจากข้อกล่าวหาเรื่องความเหลื่อมล้ำและการเป็นภาพสะท้อนของยุคอาณานิคม ยังมีเหตุผลเข้าใจง่ายกว่าที่ทำให้คนเริ่มตั้งคำถามกับชุดครุย ก็คือ ‘ต้นทุน’ ซึ่งมีทั้งค่าตัดหรือบางคนอาจจะเช่าชุด แต่ก็ยังมีค่ารองเท้าหรือค่าเสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องทำให้เหมาะสมกับชุดครุย
แม้ปัจจุบันจะมีตัวเลือกหลากหลายตามกำลังทรัพย์ของแต่ละคน แต่ก็เริ่มมีคนรู้สึกเพิ่มขึ้นว่านี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายจริงๆ หรือ? โดยเฉพาะในยุคข้าวยากหมากแพงและเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจากโรคระบาด
แต่บางประเทศก็ไปไกลกว่านั้นแล้ว เพราะทำให้ต้นทุนเรื่องชุดครุยกลายเป็นเรื่อง ‘เข้าใจได้’ และทำให้คน ‘อยากจ่าย’ เพื่อสวมชุดครุย เช่น คิงส์คอลเลจ ลอนดอน (King’s College London) วิทยาลัยชื่อดังในสหราชอาณาจักรที่ให้ ‘วิเวียน เวสต์วูด’ (Vivienne Westwood) เจ้าแม่แห่งวงการแฟชั่น ที่โด่งดังในฐานะดีไซเนอร์จอมขบถ เป็นคนออกแบบชุดครุยให้ตั้งแต่ปี 2008
อีกเหตุผลหนึ่งของคิงส์คอลเลจฯ ที่ให้ดีไซเนอร์ระดับตำนานออกแบบชุดครุยก็เพื่อฉลองที่วิทยาลัยเรียกร้องสิทธิในการมอบปริญญาแก่ผู้สำเร็จการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London) ได้ และทำให้นักศึกษาที่จบจากที่นี่ไม่ต้องสวมชุดครุยตกทอดจากสมัยโบราณอันเป็นครุยที่มหาวิทยาลัยลอนดอนใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
นอกนั้นยังมีอีกประเด็นที่บัณฑิตฝั่งซีกโลกตะวันตกตื่นตัวกันก็คือเรื่อง ‘สิ่งแวดล้อม’ เพราะชุดครุยเกือบทั้งหมดที่ใช้ในพิธีจบการศึกษาของใครหลายคนเป็นการใช้แค่ ‘ครั้งเดียวในชีวิต’ แต่ทุกๆ ปีมีคนจบการศึกษาจำนวนมาก ทำให้ชุดครุยที่ไม่รู้จะเอาไปใส่ที่ไหนต่อลงเอยด้วยการกลายเป็น ‘ขยะ’
เว็บไซต์ Green Matters ที่เป็นสื่อสายสิ่งแวดล้อม อ้างอิงสถิติในสหรัฐฯ ว่า ในแต่ละปีจะมีชุดครุยรับปริญญาถูกทิ้งในแหล่งฝังกลบขยะพลาสติกและใยสังเคราะห์ทั่วประเทศราวๆ 5 ล้านชุด เพราะขยะประเภทนี้ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลและไม่เหมาะจะกำจัดด้วยวิธีการเผา แต่สุดท้ายขยะในหลุมฝังกลบนี้ก็อาจจะกลายเป็น ‘ไมโครพลาสติก’ ซึ่งแทรกซึมลงไปในดินและแหล่งน้ำจนกระจายเข้าสู่ระบบนิเวศและร่างกายของสิ่งมีชีวิต
ตราบใดที่ยังไม่ยกเลิกประเพณีนี้ ก็อาจจะคำนึงถึงการผลิตชุดครุยให้สามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ หรือไม่ก็ใช้วิธีผลิตชุดครุยจากวัสดุรีไซเคิล ก็คงพอจะช่วยลดปริมาณขยะไปได้บางส่วน
กรณีของไทยเองก็มีเรื่องชวนปวดหัวในกลุ่มผู้เตรียมตัวรับปริญญาที่จบจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) ที่หลายรายเจอปัญหาสั่งตัดชุดครุยแต่ได้รับชุดไม่ตรงกับแบบใหม่ที่ทางมหาวิทยาลัยสั่งปรับเปลี่ยน และทางร้านก็ไม่อาจแก้ไขให้ทันเวลาได้ เพราะใกล้พิธีรับปริญญาในวันที่ 20-21 เมษายน 2022 ทำให้ทางมหาวิทยาลัยต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ที่ติดปัญหานี้ได้เข้าพิธีรับปริญญาตามกำหนด เนื่องจากไม่ใช่แค่บัณฑิตที่เฝ้ารอโอกาสนี้ แต่ยังมีครอบครัวของบัณฑิตที่หลายบ้านเดินทางไกลมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
คุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับชุดครุยที่ดูเหมือนจะมีแง่มุมที่ต้องพิจารณาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่ใช่แค่เรื่องธรรมเนียมประเพณี แต่รวมถึงประเด็นสิ่งแวดล้อมที่อาจได้รับผลกระทบจากปริมาณชุดครุยที่หลายๆ คน ‘ใช้ครั้งเดียวทิ้ง’ หรือใครที่คิดส่งต่อชุดครุยให้รุ่นน้องจะเจอปัญหาถูก ‘ปรับแบบ’ จนใช้งานในปีต่อไปไม่ได้อีกหรือเปล่า?
อ้างอิง
- The Washington Post. Why caps and gowns at graduation? Let’s go back 900 years. https://wapo.st/3rx8YrZ
- Green Matters. Can You Recycle Your Cap and Gown? What to Do With Your Graduation Gear. https://bit.ly/3Om8mzq
- Business Insider. Oxford students want to ban coveted ‘scholars’ gowns’ because they make people feel bad about themselves. https://bit.ly/3uTBczp
- The Independent. Indian governor Ram Naik orders universities to ban ‘European graduate gown culture’. https://bit.ly/3Ert8cm
- Khaosod English. THAMMASAT GRADS TO DITCH COMMENCEMENT AMID CALLS OF REFORMS. https://bit.ly/3MknMm5
- ไทยรัฐออนไลน์. อธิการบดี ม.มหาสารคาม ยันจะช่วยบัณฑิตที่ครุยมีปัญหาให้ทันพิธีฯ 20 เม.ย. https://bit.ly/3MgulG0