GovTech Next Move เจาะลึกเบื้องหลังนวัตกรรมภาครัฐฝีมือคนไทย เชื่อมคนเข้าถึงรัฐ เปลี่ยนโฉมบริการแบบพลิกฝ่ามือ
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เชื่อมต่อคนให้เข้าถึงบริการภาครัฐได้ด้วยนวัตกรรม ทำให้การใช้บริการภาครัฐง่ายและสะดวกสบายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ข้อมูลสำคัญถูกเปลี่ยนโฉม ลดขั้นตอนให้เข้าถึงได้จากมือถือ ปริมาณการใช้งานจากประชาชนจึงเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นตัวเร่งให้นวัตกรรมจากหน่วยงานภาครัฐ หรือ ‘GovTech’ เติบโตมากขึ้น
ซึ่ง GovTech นับเป็นหนึ่งในเทรนด์มาแรงที่ภาคเอกชน หรือสตาร์ทอัพหันมาสนใจลงทุน หลายประเทศประกาศชัดเจนว่าจะใช้ GovTech เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนประเทศ
เช่นนี้เองทำให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ได้ออกมาชวนทุกคนให้ลองเปิดใจเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรรมที่จะเข้ามาพลิกโฉมการทำงานของระบบราชการไทย กับเบื้องหลัง ส่อง 6 นวัตกรรมภาครัฐ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตคนไทยให้ต่างไปจากเดิม ผ่านซีรีส์ ‘GovTech Next Move’
สำหรับ 6 นวัตกรรมภาครัฐ เปลี่ยนชีวิต มีดังนี้
- ลดขั้นตอน เพิ่มความเร็ว นวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับบริการภาครัฐ
- เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ให้ง่ายกว่าเดิม นวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
- เข้าถึงข้อมูลสุขภาพบนมือถือ นวัตกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต
- เชื่อมต่อข้อมูลเข้าถึงชุมชน นวัตกรรมที่เน้นจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ ทั้งเรื่องน้ำ อากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ
- โปร่งใส ตรวจสอบได้ นวัตกรรมภาครัฐที่นำข้อมูลมาใช้ในการบริหารจัดการ
- จัดสรรพื้นที่ ใช้เทคโนโลยีสร้างความสมดุลย์ นวัตกรรมด้านการกระจายตัวในระดับพื้นที่
โดย GovTech ในไทยนั้นเกิดขึ้นมาในช่วง 5-6 ปี หลังจากมีโครงการพัฒนา Startup Thailand ขึ้นมา โดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรัฐ 6-7 สาขา เพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมภาครัฐ (GovTech) นวัตกรรมภาคประชาชน (CivilTech) และนวัตกรรมด้านการศึกษา (EdTech) ขึ้นในประเทศ จากการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน
ซึ่งจุดเปลี่ยนที่ชัดที่สุด คือสถานการณ์โควิด-19 ที่เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส และกลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ภาครัฐต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพราะไม่สามารถที่จะให้บริการหน้างานได้แบบที่ผ่านมา ทำให้ต้องพัฒนามิติของการบริการด้วยเทคโนโลยีให้ใช้งานได้ผ่านระบบออนไลน์
ในขณะที่ต่างประเทศ GovTech มีพัฒนาการมาสักพักในวงการนักลงทุน เช่น ในอเมริกา จะมีสตาร์ทอัพให้บริการแทนหน่วยงานราชการในระดับท้องถิ่น มีนักลงทุนที่พร้อมให้การสนับสนุนพัฒนาบริการสาธารณะเป็นหลัก ส่วน GovTech ของสิงคโปร์ จะเน้นเรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Digital tranformation) โดยให้ทุนกับสตาร์ทอัพทำแพลตฟอร์มให้บริการภาครัฐ และเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม
การทำงานของภาครัฐต้องเน้นตอบโจทย์เทคโนโลยีที่ประชาชนใช้บริการอยู่เป็นประจำ ทุกวันนี้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไป ใช้ชีวิตส่วนหนึ่งอยู่บนมือถือ ดังนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ภาครัฐจะไม่ปรับตัว จากการทำงานบนกระดาษมาให้บริการผ่านมือถือ ซึ่งประชาชนมีความเคยชินมากที่สุด กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้เกิดการ ‘พัฒนาระบบงานของภาครัฐ’ ให้ไปสู่ระบบดิจิทัล
อย่างไรก็ดี หวังว่าในอนาคตจะได้เป็น ‘รัฐที่ล้ำหน้า’ โดยการเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อการบริการประชาชนที่รวดเร็ว รวมทั้งเอานวัตกรรมเข้ามาใช้ในการปรับปรุงงานให้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือนั่นเอง
และสามารถติดตามตอนต่อๆ ไปได้ในซีรีส์ GovTech Next Move