4 Min

ชาติยุโรปผุดโครงการ ‘วีซ่าทองคำ’ ลงทุนไม่ถึง 10 ล้านบาทก็ได้สิทธิ์ ‘อยู่ถาวร’ ในสหภาพยุโรป

4 Min
615 Views
20 Jun 2023

ในช่วงที่ผ่านมา ตอนที่คนจำนวนมากอยากจะ ‘ย้ายประเทศ’ เราอาจเคยได้ยินเรื่องการ ‘ขายสัญชาติ’ กันมาบ้างแล้ว แต่พอไปดูราคา หลายคนก็คงจะรู้สึกว่า ‘เกินเอื้อม’ เพราะถ้าจะทำได้ก็คือต้องมีเงินทุนในมือหลักหลายสิบล้านบาทเป็นขั้นต่ำ 

อย่างไรก็ดี หลายๆ ชาติก็ตระหนักดีว่าเรียกเงินไปขนาดนี้ คงมีแต่ ‘คนรวยมากๆ’ เท่านั้นที่จะสนใจ เพราะถ้าต้องจ่ายขนาดนี้ ชนชั้นกลางในชาติร่ำรวยก็ยังไม่น่าจะจ่ายเงินซื้อสัญชาติไหว หลายชาติเลยเริ่มมีแนวคิดใหม่ที่เป็นเหมือนการขายสัญชาติใน Tier ที่ต่ำกว่า คือซื้อแล้วได้สิทธิ์แค่เป็น ‘ผู้พำนักถาวร’ ซึ่งสามารถอยู่อาศัยและเข้าออกประเทศได้เรื่อยๆ แค่ไม่ได้เป็นพลเมือง แต่ถ้าอยู่นานๆ ไปก็มีสิทธิ์จะขอสัญชาติไปตามกระบวนการได้เช่นกัน (เพราะปกติในแทบทุกประเทศ คนที่จะขอสัญชาติได้ก็ต้องเป็นผู้พำนักถาวรมาก่อน) โดยไฮไลต์คือโครงการพวกนี้จะราคาถูกกว่าการ ‘ซื้อสัญชาติ’ เกินครึ่ง

วันนี้เราจะเล่าเรื่องโครงการพวกนี้ให้ฟัง

อย่างแรกเลย ในทางเทคนิคเป๊ะๆ มันไม่มีการ ‘ซื้อขายสัญชาติ’ โดยตรง แต่โครงการพวกนี้มักจะถูกเรียกแบบรวมๆ ว่า ‘โครงการย้ายถิ่นฐานสำหรับนักลงทุน’ (Immigrant Investor Program) ซึ่งหลักๆ คือชาติที่ออกโครงการพวกนี้มาจะเสนอว่าถ้าคุณลงทุนในประเทศด้วยเงินจำนวนที่มากพอก็จะให้สัญชาติคุณไปเลย หรือไม่ก็จะให้สิทธิ์ผู้พำนักถาวร

ซึ่งการลงทุนในที่นี้ ก็มีตั้งแต่การซื้อพันธบัตรรัฐบาล การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจที่ทำให้เกิดการจ้างงาน หรือบางทีก็อาจจะเป็นการบริจาคให้พวกองค์กรการกุศลในประเทศหรือหน่วยงานรัฐแบบดิบๆ เลยก็มี โดยแต่ละประเทศ ‘เงื่อนไขการลงทุน’ จะไม่เหมือนกัน บางประเทศก็จะระบุเลยว่าให้ลงทุนยังไงในแบบที่ว่ามา บางประเทศก็จะให้เลือก โดยรวมๆ มันคือการกระตุ้นการลงทุนโดยเอา ‘สัญชาติ’ มาเป็นตัวล่อให้นักลงทุนเอาเงินมาลงทุนก็ได้

สนนราคาของการลงทุนขั้นต่ำก็จะต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ทั่วๆ ไปคือคุณต้องมีเงินไม่ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ถึงจะเข้าร่วมโครงการได้ พูดอีกแบบมันคือการ ‘รับสมัครคนรวยมาเป็นพลเมือง’ นั่นเอง และคุณต้องพิสูจน์ว่าคุณรวยจริงๆ ด้วยการลงทุน

โครงการแบบนี้จริงๆ แล้วฮิตมากในชาติสหภาพยุโรป (EU) เพราะประเทศสมาชิกอียูนั้นเชื่อมโยงกัน คุณมีสัญชาติและพาสปอร์ตประเทศหนึ่ง คุณก็ไปได้ทั่วยุโรปเหมือนมี ‘วีซ่าเชงเกน’ และพวกประเทศที่จนๆ หน่อยก็จะมีโครงการพวกนี้ออกมาหาเงิน ซึ่งชาติที่ทำเรื่องนี้อย่างโด่งดังคือ มอลตา เพราะพาสปอร์ตมอลตา ราคาเพียง 22 ล้านบาทเท่านั้น คือลงทุนในมอลตาด้วยงบเท่านี้ก็ได้สัญชาติไปเลย เอาพาสปอร์ตไปเลย ไม่ต้องมาอยู่ในประเทศด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี ทางอียูก็โวยมากว่าการทำอะไรแบบนี้เป็นการบ่อนทำลายสหภาพ เพราะมันเปิดช่องให้คนรวยๆ ที่มีเงินพอ ได้สัญชาติยุโรปกันง่ายๆ และพวกนี้บางทีก็เป็นพวกทำ ‘ธุรกิจสีเทา’ หรือกระทั่งอาชญากร เอาง่ายๆ คืออย่างน้อยในตอนที่ชาติยุโรปแบนรัสเซียในช่วงปี 2022 สิ่งที่พบก็คือพวกเศรษฐีรัสเซียที่มีเงินมากพอก็จะเอาเงินมาซื้อสัญชาติจากพวกชาติจนๆ ในอียูที่มี ‘โครงการย้ายถิ่นฐานสำหรับนักลงทุน’ หรือพูดอีกแบบ คนที่รวยพอของรัสเซียมักจะซื้อสัญชาติเพื่อหนีการคว่ำบาตร

พวกชาติมหาอำนาจยุโรปจึงไม่พอใจที่พวกชาติจนๆ หาลำไพ่พิเศษด้วยการทำแบบนี้ และพยายามจะกดดันให้ยกเลิกโครงการพวกนี้ไป และก็อย่างที่ว่ามาข้างต้น เอาจริงๆ โครงการ ‘ขายสัญชาติ’ นี้มันมีปัญหาอยู่แล้ว เพราะแพงเกินไป แม้แต่ชนชั้นกลางปกติในชาติร่ำรวยก็ยังไม่มีปัญญาซื้อเลย หลายชาติเลยมีไอเดียใหม่ ที่เปิดโครงการหลังช่วงโควิดทำให้เศรษฐกิจซบเซา

โครงการนี้จะเรียกว่าเป็นการ ‘ขายสิทธิ์พำนักถาวร’ ก็พอได้ แต่มีชื่อเล่นว่าโครงการ ‘วีซ่าทองคำ’ (Golden Visa) เพราะก่อนหน้านี้โครงการที่เข้าข่าย ขายสัญชาติก็มักจะถูกเรียกว่า ‘พาสปอร์ตทองคำ’ (Golden Passport) ซึ่งหลักๆ ไอเดียก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพราะเงื่อนไขคือการ ‘ลงทุนเพื่อแลกวีซ่าพำนักถาวร’ แต่ยอดลงทุนขั้นต่ำของการร่วมโครงการนั้นต่ำกว่าโครงการพาสปอร์ตทองคำ เช่นที่มอลตาการจะลงทุนเอาสัญชาติต้องลงทุนขั้นต่ำ 22 ล้านบาท แต่ถ้าจะเอาแค่สิทธิ์ในการพำนักถาวร สามารถลงทุนแค่ประมาณไม่ถึง 6 ล้านบาทก็ได้ ซึ่งความต่างของราคาทำให้คนมองว่าโครงการนี้มีราคาที่จับต้องได้มากกว่า ไม่ต้องเป็นมหาเศรษฐีก็พอจะเข้าร่วมโครงการได้

คนที่ได้วีซ่าทองคำตามโครงการก็จะเข้าออกยุโรปได้อิสระ จะทำงานหรือทำธุรกิจก็ทำได้เหมือนพวกพลเมืองเลย คือเป็นวีซ่าขั้นสูงสุดที่มีสถานะแทบจะเหมือนพลเมืองแล้ว เพียงแค่ไม่ได้สัญชาติและพาสปอร์ต และจริงๆ ถ้าอยากได้สัญชาติและพาสปอร์ตก็ต้องถือวีซ่าทองคำไปในระยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยยื่นขอสัญชาติไปตามกระบวนการได้ ซึ่งสถานะผู้พำนักถาวรนี้ปกติต้องทำงานในประเทศนั้นนานๆ อย่างถูกกฎหมาย ถึงจะได้มา แต่โครงการใหม่ที่ว่าคือจ่ายเงินลงทุนแล้วก็ได้สถานะเลย

ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องใหม่ เพราะเพิ่งเกิดช่วงปลายๆ ยุคโควิดนี่เอง ดังนั้นหลายคนที่เคยศึกษาเรื่องการซื้อสัญชาติจึงอาจไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี โครงการพวกนี้ทางอียูก็ยังไม่แฮปปี้เท่าไร เพราะพวกชาติใหญ่ๆ ไม่ต้องการให้ ‘ใครก็ได้ที่มีเงิน’ สามารถเข้ามาเป็นผู้อยู่อาศัยในสหภาพยุโรปได้ง่ายๆ ถึงจะไม่ได้เป็นพลเมืองก็เถอะ

นอกจากนี้ก็ยังไม่นับว่าบางชาติก็ยกเลิกโครงการพวกนี้ไปแล้ว เพราะปัญหาคือเวลาบอกให้คนเลือกลงทุนอะไรก็ได้ในประเทศ คนส่วนใหญ่จะชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือซื้อบ้านในประเทศนั้นๆ แล้วปล่อยให้เช่าเพราะมันจัดการง่ายสุด (ง่ายกว่าการลงไปทำธุรกิจ) ซึ่งผลรวมๆ คือถ้ามีคนทำแบบนี้เยอะก็จะดันราคาบ้านและค่าเช่าขึ้นไปสูงจนคนในท้องถิ่นได้รับผลกระทบและออกมาโวยวายกันยกใหญ่

ซึ่งจริงๆ คนไทยก็คงเข้าใจปรากฏการณ์พวกนี้ได้ไม่ยาก เพราะในไทยเวลาคนจีนมาลงทุนเยอะๆ มากว้านซื้ออสังหาฯ คนไทยก็ยังโวยเลย และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้กฎหมายไทยไม่อนุญาตให้ขายที่ดินแก่ต่างชาติตรงๆ ด้วยซ้ำ และไทยก็ไม่ได้มี ‘โปรโมชั่นซื้อบ้านแถมสัญชาติ’ แต่คนจีนก็ยังมาทำแบบนี้ และก็ไม่ต้องคิดเลยว่าพวกชาติที่ไม่ได้ห้ามต่างชาติซื้อที่ดิน และมี ‘โครงการย้ายถิ่นฐานสำหรับนักลงทุน’ เช่นที่สเปน จะต้องเจอคนจีนไล่ซื้อบ้านในระดับที่โหดแค่ไหน จึงไม่แปลกที่จะต้องไล่ปิดโครงการกันแทบไม่ทัน

อ้างอิง