4 Min

สาว ‘นักเขียนฟรีแลนซ์’ จากอเมริกา ทำเงินได้ปีละกว่า 12 ล้านบาท!!! เธอทำได้อย่างไร?

4 Min
943 Views
11 Aug 2022

ที่ผ่านมานักเขียน  ไม่ใช่อาชีพที่ถูกมองว่าทำเงินเท่าไรในภาพรวม เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าคุณไม่ใช่นักเขียนระดับเบสต์เซลเลอร์แบบพิมพ์ซ้ำเป็นสิบๆ ครั้ง ในหลายประเทศ ก็ยากสุดๆ ที่คุณจะเป็นนักเขียนแล้วรวย

แต่วันนี้เราอยากจะเล่าเรื่องที่ต่างออกไป ของนักเขียนสาวรายหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา ที่รายได้ของเธอในปี 2020 นั้นสูงเกินกว่า 12 ล้านบาท หรือเธอทำเงินโดยการเขียนหนังสือได้เดือนละกว่า 1 ล้านบาท ตลอดปีแรกของการระบาดของโควิด!

ได้ยินแบบนี้ เราอาจสงสัยว่าเธอเป็นนักเขียนดังมาจากไหน แต่ก็คงไม่มีใครเคยได้ยินชื่ออเล็กซ์ ฟาลูโซ’ (Alex Faluso) เพราะหนังสือที่เธอเขียนทั้งหมดเป็นชื่อคนอื่น

เพราะอาชีพของเธอคือนักเขียนเงา’ (ghost writer)

หรือพูดให้ชัด งานของเธอคือรับจ้างเขียน ‘E-Book’ ขนาดเล็ก ในความยาวประมาณ 10,000 คำ (น่าจะคิดเป็นประมาณ 20-40 หน้ากระดาษ A4 แล้วแต่ขนาดอักษรและการเว้นบรรทัด) โดยเธอคิดค่าจ้าง 1,000 เหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 35,000 บาท ในอัตราแลกเปลี่ยนช่วงกลางปี 2022)

ทุกวันนี้เธอจะมีลูกค้าขั้นต่ำๆ สัปดาห์ละ 3 ราย ซึ่งทำเงินให้เธอได้ราวๆ เดือนละ 400,000 บาท แต่มันก็มีช่วงพีคซึ่งก็คือเดือนพฤษภาคม 2020 ที่เธอทำเงินไปได้ในเดือนเดียว 1,200,000 บาท และจริงๆ ตลอดทั้งปี 2020 เธอก็บอกว่าตนมีรายได้เกิน 12 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านบาท ในปีนั้น ตามการรายงานโดย CNBC ในปี 2021

คำถามที่หลายคนน่าจะอยากถามคือ มันเป็นไปได้ยังไง?

ประการแรกต้องเข้าใจก่อนว่า จริงๆ อัตราผลตอบแทนของพวกนักเขียนเงาในงานแบบที่ว่า มันไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ในค่าแรงแบบฝรั่งการจ้างเขียน E-Book เล็กๆ สักเล่ม ในราคา 35,000 บาท มันก็ไม่ใช่ค่าจ้างที่น่าตื่นตาตื่นใจมากนัก

แต่คำถามที่น่าสนใจมันกลับเป็นว่าเธอหาลูกค้าที่เยอะขนาดนั้นมาจากไหน? และเธอผลิตงานได้เร็วขนาดนั้นได้ยังไง?

คำถามแรก เธอบอกในการสัมภาษณ์ว่าเธอใช้แพลตฟอร์ม Fiverr แบบ Pro ในการหางานจากทั่วโลก ซึ่งคนที่จ้างเธอมีตั้งแต่คนทั่วไป พวกอินฟลูเอนเซอร์ และบริษัทต่างๆ ที่อยากจะมีหนังสือของตัวเองซึ่งอันนี้เราก็น่าจะจินตนาการออกว่ามันเป็นไปได้ เพราะคนและองค์กรพวกนี้น่าจะจ่าย 35,000 บาทเพื่อจ้างคนเขียนหนังสือแทนตัวเองได้ไม่ยากอยู่แล้ว ซึ่งใครเคยรับงานพวกนี้ก็น่าจะรู้ว่าบางทีเรารับงานจากลูกค้ารายหนึ่งแล้วลูกค้าพอใจ บางทีก็จะมีการแนะนำปากต่อปาก การจ้างกันไปเรื่อยๆ นอกแพลตฟอร์ม ฯลฯ

และถามว่าทำไมงานเธอชุกขนาดนั้น เธออธิบายว่าจังหวะเธอดีมารับงานตอนทุกคนพยายามจะทำอะไรออนไลน์กันหมดเพราะการล็อกดาวน์ในช่วงโควิดและจริงๆถ้าใครอยู่ในอุตสาหกรรมออนไลน์ในช่วงโควิดก็คงจะเห็นว่ามันบูมทุกอย่างจริงๆ

จินตนาการไม่ได้ยากเลยว่า มันคงมีคนจากทั่วโลกที่หัวใส อยากทำ E-Book มาขายไปพลางๆ ช่วงโควิดที่ทุกคนใช้ชีวิตอยู่หน้าจอเลยจ้างนักเขียนเงาให้ผลิตหนังสือมาให้ และถ้าคนอยู่ถูกที่ทางพอ มันมีโอกาสรับงานพวกนี้ได้จากทั่วโลก แต่ละคนจ่ายไม่เยอะ แต่ลูกค้ารวมๆ เยอะ

ดังนั้นเรื่องนี้ไม่แปลก มันมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลอยู่

ที่นี้คำถามต่อมา เธอทำได้ยังไง โดยเฉพาะช่วงพีค

ตรงนี้ เราอยากจะคำนวณให้ดูเร็วๆ ว่า ถ้าปกติเธอมีงานเขียนสัปดาห์ละประมาณ 60-120 หน้า กระดาษ A4 ตรงนี้ก็ดูจะเป็นไปได้เพราะนักเขียนอาชีพทุกคนก็น่าจะมีความสามารถเขียนหนังสือได้วันละ 10-20 หน้าอยู่แล้ว ถ้าจะทำแบบที่ว่า สิ่งที่ต้องทำก็คือทำงานสัปดาห์ละ 6 จาก 7 วัน ซึ่งตรงนี้ไม่แปลกเท่าไร คนบ้างานก็ทำงานกันแบบนี้เป็นปกติ

แต่ประเด็นคือช่วงพีคถ้าเธอได้ค่าตอบแทนในอัตราเดียวกัน เธอน่าจะต้องทำงานหนักเป็น 3 เท่าตัว หรือถ้าตีเป็นหน้ากระดาษ เธอต้องเขียนหนังสือได้วันละ 30-60 หน้ากระดาษ A4 และต้องทำต่อเนื่องทุกวันทำงาน

ซึ่งตรงนี้ ถ้าใครเคยทำงานเขียนจริงๆ ก็จะเริ่มคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ยากแล้ว เพราะถ้าคิดแบบโหดๆ เลย ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง มันต้องเขียนได้ประมาณชั่วโมงละ 2.5-5 หน้า และทำต่อเนื่องตลอด ซึ่งนอกจากอัตราแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยากจริงๆ แล้ว ก็ต้องไม่ลืมว่า การทำงานแบบนี้มันต้องมีเวลารับบรีฟงานอีก ต้องใช้เวลาคิดงานอีก ดังนั้นเวลานั่งลงทำงานจริงๆ มันน่าจะน้อยกว่านั้นลงไปอีก

บางคนอาจคิดว่าเธออาจได้ค่าตอบแทนจริงๆเยอะกว่าที่เธออ้างหรือเปล่า? แต่ในบริบทของบทสัมภาษณ์ที่เป็นเรื่องของการประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงาน มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เธอจะกดค่าตัวของเธอให้ต่ำลงกว่าที่ได้จริงๆ ดังนั้นเธอก็น่าจะได้ตามที่ว่านั่นแหละเป็นอัตราสูงสุดที่เธอได้

หรือพูดอีกแบบ เธอไม่น่าจะทำงานน้อยกว่าที่เราคำนวณมา เพราะจริงๆ ได้ค่าตัวเยอะกว่านั้นหรอก แต่เธอคงจะทำงานเยอะขนาดนั้นจริงๆ นั่นแหละ

และด้วยค่าตัวเท่านั้น คำถามคือเธอทำได้ยังไง?

เธอไม่ได้บอกว่าเธอมีทีมใดๆ ช่วยเธอทำงาน ดังนั้นเราก็จะลองคิดต่อว่ามันเป็นไปได้ยังไงที่เธอจะเขียนงานแบบนั้นด้วยตัวคนเดียว?

คำตอบที่พอนึกออก สำหรับคนที่รู้จักเทคโนโลยีก็คือ เธอน่าจะมีการใช้ AI ในการช่วยเขียน เพราะหลายคนก็คงไม่รู้ว่าสำหรับพวกนักเขียนออนไลน์ที่ต้องปั่นต้นฉบับ หรือบล็อกเกอร์ที่ต้องเขียนบล็อกเยอะๆ ทุกวันนี้การเอา AI มาช่วยเขียนงานมันเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของฝรั่งกันไปแล้ว และจริงๆ พวกสำนักข่าวใหญ่ๆ ก็มีการใช้กันเป็นปกติแล้ว

ตัวอย่างแพลตฟอร์ม AI ที่สามารถจะช่วยทำงานเขียนแบบยาวให้ลุล่วงเร็วขึ้นโดยเฉพาะก็เช่น Jasper, Ryter, Texspark, Suduwrite, Article Forge เป็นต้น (และนี่เรายังไม่พูดถึงพวกเครื่องมือ AI เขียนก็อปปี้โฆษณาที่มีอีกเป็นสิบแต่พวกนี้มันไม่ถนัดเขียนอะไรยาวๆ เอามาเขียนบทความแล้วไม่เวิร์ค)

โดยพวกนี้ถ้าคิดง่ายๆแพ็คแกจขั้นต่ำในการสมัครมันจะประมาณ 1,000 บาท (30 เหรียญสหรัฐฯ) ต่อเดือน เพื่อจะใช้ AI ของแพลตฟอร์มช่วยเขียนได้อย่างไม่จำกัด

และถ้าตามรีวิว เขาก็จะเคลมกันประมาณว่า ถ้าคนใช้พวกนี้ช่วยเขียน มันจะทำงานกันเร็วขึ้นประมาณ 10 เท่าตัว และถ้าเราเอาเทคโนโลยีแบบนี้ไปเทียบกับความเร็วผิดมนุษย์ในการทำงานของ อเล็กซ์ ฟาลูโซ ที่เราคำนวณมาข้างต้น เราก็น่าจะได้คำอธิบายบางอย่างเป็นสมมุติฐานว่า ถ้าเธอจะทำงานในอัตราค่าตอบแทนที่ว่าด้วยตัวคนเดียว ด้วยปริมาณงานที่เธอต้องทำ การบอกว่าเธอใช้ AI ช่วยเขียนงานในแบบใดแบบหนึ่งก็น่าจะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้ว

พูดง่ายๆ ว่า ที่เธอทำงานขนาดนั้นได้ ก็น่าจะเพราะเธอมีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยนั่นเอง ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะตราบใดที่ลูกค้าแฮปปี้ มันจะมีปัญหาอะไรถ้าเราจะใช้ AI เขียนงานส่งลูกค้า

และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของนักเขียนฟรีแลนซ์ที่ทำรายได้หลักปีละ 10 ล้านได้ในทศวรรษนี้ ซึ่งก็แน่นอน มันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ระดับนี้หรอก แต่ประเด็นคือ หลายๆ คนก็อาจได้ไอเดียมากขึ้นว่าอาชีพแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไส้แห้งเพราะถ้ามันอยู่ถูกที่ถูกเวลา ใช้เทคโนโลยีที่ถูกทั้งในการหางานและทำงาน การจะรวยมันก็เป็นไปได้ โดยไม่ต้องมีเส้นทางอาชีพเก่าๆ แบบต้องเขียนนิยายที่โคตรดังมาก่อนสักเรื่องด้วยซ้ำ

อ้างอิง