ไม่มีใครอยากเป็นเด็กไม่น่ารักหรอก รู้จัก ‘การเลี้ยงดูแบบอ่อนโยน’ ทำให้ใจเข้มแข็ง แต่ไม่ก้าวร้าว
เด็กอาจไม่ใช่ผ้าขาว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเกิดมาพร้อมกับใจบริสุทธิ์ที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีมาก่อน แต่เด็กคนนั้นจะโตมาเป็นคนแบบไหน? ก็ย่อมขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยงดูเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะหลายกรณี พ่อแม่หรือผู้ปกครองที่เลี้ยงดูพวกเขามานี่เองที่เผลอแต้มสีหม่นบนผ้าขาวนั้นให้เลอะโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับทฤษฎีจิตวิทยารูปแบบความผูกพัน (Attachment Style) ที่เกิดจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กมีผลต่อตัวตนเมื่อโตขึ้น
แน่นอนว่าทุกคนคงอยากมีรูปแบบความผูกพันที่มั่นคง (Secure) ไม่ใช่หวาดกลัว (Fearful-Avoidant) วิตกกังวล (Anxious) หรือหลีกหนี (Avoidant) เพราะมันส่งผลถึงพฤติกรรม นิสัยและทัศนคติในการมองโลกและการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตในวันข้างหน้า
PSYCHOLOGY วันนี้จึงอยากชวนพ่อแม่มือใหม่ หรือคนที่กำลังจะเป็นพ่อแม่ รวมถึงคู่ที่วางแผนจะมีลูกมาเรียนรู้เกี่ยวกับอิทธิพล ‘การเลี้ยงลูกแบบอ่อนโยน’ (Gentle Parenting) ที่ได้รับความนิยมมากจนถึงขั้นทำให้เกิด buzzword ใหม่ในหมู่ทฤษฎีการเลี้ยงดูนั่นคือ ‘การใช้กฎระเบียบร่วมกัน’ (Co-regulation) เพื่อให้เด็กๆ เติบโตไปอย่างมีความเข้มแข็งทางอารมณ์ และมีทัศนคติในเชิงบวก ซึ่งทุกอย่างย่อมเริ่มที่ตัว ‘พ่อแม่หรือผู้ปกครองเลี้ยงดู’
ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก ‘การเลี้ยงลูกแบบอ่อนโยน’ ว่ามันคืออะไรกันนะ?
หากอิงตามหนังสือ ‘The Gentle Parenting Book’ ของ ซาราห์ อ็อกเวล-สมิธ (Sarah Ockwell-Smith) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงดูบุตรที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา จะมี 3 คีย์เวิร์ดสำคัญสำหรับการเลี้ยงลูกแบบอ่อนโยน คือ การเอาใจใส่ ความเข้าใจ และความเคารพ โดยเน้นที่การไตร่ตรอง การคำนึงถึงความเห็นอกเห็นใจที่ตัวพ่อแม่ปฏิบัติต่อลูก
ซึ่งเป็นแนวทางการเลี้ยงดูที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างพ่อแม่และลูกในการตัดสินใจโดยพิจารณาจากความเต็มใจภายใน แทนที่จะเป็นแรงกดดันจากภายนอก หมายความว่า พ่อแม่ไม่ได้ทำตัวมีอำนาจเหนือกว่าลูก แต่เปิดโอกาสให้ลูกได้มีสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกันกับตัวเอง โดยเน้นที่การแสดงพฤติกรรมที่ดีมากกว่าการบังคับให้เด็กประพฤติตนในลักษณะใดลักษณะหนึ่งด้วยการลงโทษและการข่มขู่
โดยการเลี้ยงลูกแบบอ่อนโยน จะนำไปสู่ความเป็นอิสระในระดับอารมณ์ เด็กๆ ได้สำรวจอารมณ์ของตนเอง และพ่อแม่ก็เป็นตัวอย่างในการยอมรับประสบการณ์ของลูกอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะสอนให้เด็กๆ รู้จักวิธีจัดการกับความรู้สึกของตนเอง
ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่อ่อนโยนจะไม่พยายามหยุดลูกที่หงุดหงิด ไม่ให้ร้องไห้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาจะแสดงท่าทีสงบเพื่อให้ลูกๆ รู้ว่าไม่เป็นไรเลยในการรู้สึกและแสดงออกถึงอารมณ์เชิงลบ
พ่อแม่จะเคารพในอารมณ์ของลูก แล้วอาจพูดว่า “แม่/พ่อรู้ว่าลูกกำลังหงุดหงิด มานั่งด้วยกันแล้วหายใจลึกๆ นะ” เมื่อพ่อแม่ไม่พยายามกำจัดความรู้สึกด้านลบอย่างกะทันหัน เด็กๆ จะได้เรียนรู้การรับรู้และยอมรับทุกอารมณ์อย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังได้เรียนรู้ในภายหลังว่าควรจัดการกับอารมณ์ลบนั้นอย่างไร
จุดสังเกตอีกหนึ่งอย่างคือ ‘คำพูด’ ของพ่อแม่ ที่ต้องพยายามพูดในมุมที่อ่อนโยนไม่สร้างบาดแผลให้กับลูก เช่น หากลูกคนโตทำไม่ดีกับน้อง ส่วนใหญ่พ่อแม่จะพูดว่า “ทำไมทำแบบนี้ เป็นพี่ไม่ควรทำน้อง ไม่ควรใจร้ายกับน้องสิ”
ประโยคเช่นนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาเรียนรู้อะไร นอกจากได้รับการกระทบกระเทือนทางอารมณ์จากพ่อแม่ เพราะอย่าลืมว่าเด็กวัยกำลังโตนั้นยังไม่มีทักษะและวุฒิภาวะมากพอจะจัดการอารมณ์และความคิดที่ถูกกระทบกระเทือนได้ด้วยตัวเอง หากไม่ได้รับการเรียนรู้
ดังนั้น แทนที่จะต่อว่า ให้ชวนลูกๆ ตั้งคำถามว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นดีหรือไม่ ส่งผลกระทบอย่างไร “แม่ไม่คิดว่าน้องจะชอบที่หนูทำแบบนั้นนะ มาลองวิธีอื่นดูไหมแล้วดูว่าน้องจะทำยังไง” สิ่งนี้ช่วยเน้นย้ำว่าคนเราสามารถทำผิดพลาดได้เสมอ
โดยที่ไม่ทำให้ลูกๆ ต้องรู้สึกน้อยใจว่าพวกเขากลายเป็นเด็กไม่ดีในสายตาพ่อแม่ไปตลอดกาล รวมถึงการเป็นตัวอย่างทำให้ลูกๆ ฝึกเรียนรู้ที่จะเมตตาต่อตัวเอง เช่น “วันนี้พ่อเหนื่อยจัง ถ้าได้แช่น้ำสักหน่อยคงจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นนะ” สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาเรียนรู้ต่อด้วยว่าควรเมตตาต่อคนอื่นอย่างไร
“การเลี้ยงดูแบบอ่อนโยนเกี่ยวข้องกับการกำหนดขอบเขตและความคาดหวังที่ชัดเจน ปฏิบัติด้วยวิธีที่ใจดีและให้เกียรติ แทนที่จะใช้การลงโทษและความกลัว” กล่าวโดย เจนนา เฮอร์แมนส์ (Jenna Hermans) โค้ชผู้ปกครองและผู้เขียนหนังสือ ‘Chaos to Calm’
จึงนำมาสู่ประเด็นถัดไปคือ buzzword ที่เราพูดถึง ‘การใช้กฎระเบียบร่วมกัน’ (Co-regulation) ถือเป็นอีกวิธีการสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ ให้ความร่วมมือกับพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี นี่จึงสะท้อนกลับไปยังประโยคด้านบนที่พูดถึงแนวทางการเลี้ยงดูที่ ‘ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างพ่อแม่และลูก’ โดยต่อไปนี้คือตัวอย่าง 3 ข้อปฏิบัติร่วมกัน
1 – สงบจิตสงบใจ: อลิซา เพรสแมน (Aliza Pressman) นักจิตวิทยาด้านพัฒนาการและผู้ร่วมก่อตั้ง Mount Sinai Parenting Center อธิบายไว้ว่า ก่อนที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิด พ่อแม่ต้องหายใจเข้าออกเพื่อสงบอารมณ์ไว้ ก่อนจะจัดการเหตุการณ์นั้นด้วยความสงบ ด้วยเหตุและผล จากนั้นลูกๆ จะเรียนรู้และเลียนแบบจากสิ่งที่คุณปฏิบัติต่อพวกเขา
2 – ใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบ ผ่อนคลายและนุ่มนวล: อย่าขึ้นเสียงหรือพูดด้วยความโกรธ เพราะการทำเช่นนี้เสมือนกับการสุมไฟให้ลุกโชนขึ้น อารมณ์ด้านลบที่ทั้งสองฝ่ายมีก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ดังนั้น จงใช้เวลาสักครู่สงบใจ จากนั้นตอบสนองด้วยวิธีการที่อ่อนโยนและห่วงใยผ่านทางน้ำเสียง การแสดงออกทางสีหน้าที่นุ่มนวลเพื่อแสดงอารมณ์ที่มั่นคงของพ่อแม่
3 – รับรู้อารมณ์ของลูก แล้วเน้นในกฎเกณฑ์: คือตอกย้ำกับลูกว่าคุณรู้ว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ และคุณเข้าใจ จากนั้นให้บอกว่าทำไมพวกเขาต้องทำหรือไม่ควรทำสิ่งนั้น เช่น ทุกเช้าที่ปลุกลูกอาจพูดว่า “แม่รู้ว่าลูกเหนื่อยกับการไปเรียน บางทีมันก็น่าเบื่อ แต่หน้าที่ลูกตอนนี้ก็คือการไปโรงเรียนเพราะงั้นลุกไปอาบน้ำเสีย”
แล้วบ้านไหนมีวิธีการเลี้ยงลูกด้วยวิธีใด หรือถูกเลี้ยงมาแบบไหน ลองมาคอมเมนต์แชร์ประสบการณ์ในฐานะพ่อแม่ และคนเป็นลูกกันได้นะ
อ้างอิง
- ‘Co-regulation’ is the new parenting buzzword—here’s what it means and how to do it https://shorturl.asia/4LE2j
- A Beginner’s Guide to Gentle Parenting https://shorturl.asia/5rjV
- More Parents Are Embracing ‘Gentle Parenting’ — But There’s 1 Thing Many Get Wrong https://shorturl.asia/uPnaI