3 Min

ประวัติศาสตร์ย่อของการขยายอวัยวะเพศชาย

3 Min
1977 Views
18 Jul 2022

เมื่อเร็วๆ นี้ เราอาจได้ยินเรื่องของบริการฉีดเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย

หรือสักราวๆ 5 ปี ก่อน เราก็อาจคุ้นกับเรื่องขนมปังไส้กรอกกันมาบ้าง ซึ่งเรื่องของเรื่องก็มาจากภาพอวัยวะเพศที่ขยายจนผิดรูปของกระทาชายนายหนึ่ง ที่ส่งๆ ต่อกันมาหลังไมค์ ซึ่งมันก็ฮิตจนหลายๆ เพจก็เล่นประเด็นเหล่านี้ไม่ว่าจะในเชิงตลกขบขันหรือในเชิงจริงจัง

เราอาจมองว่านี่เป็นเรื่องแปลก แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้น เพราะตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ความหมกมุ่นเรื่องขนาดของอวัยวะเพศชายนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่พบได้แทบจะในทุกสังคมวัฒนธรรม และมันก็ตามมาด้วยเทคนิคการขยายอวัยวะเพศสารพัด

เทคนิคที่น่าจะบันทึกกันไว้เก่าแก่ที่สุดก็น่าจะเป็นเทคนิคการยืดซึ่งมีบันทึกไว้ตั้งแต่อียิปต์โบราณ ซึ่งวิธีการก็ง่ายๆ เพียงแค่หาอะไรผูกอวัยวะเพศชายเอาไว้ฝั่งหนึ่ง แล้วอีกด้านหนึ่งก็หาอะไรมาถ่วงน้ำหนักไว้อีกข้างหนึ่ง เทคนิคนี้เป็นภูมิปัญญาพื้นๆ ที่พบทั่วไปในหลายสังคม และก็มีบันทึกว่า บางชนเผ่าในแอฟริกาพยายามจะขยายขนาดอวัยวะเพศด้วยวิธีนี้ หรือชาวเกาะแถบโพลีเนเซียก็มีการใช้วิธีนี้เช่นกัน และวิธีนี้ก็พัฒนามาเป็นเครื่องยืดสมัยใหม่ที่มีมาจนถึงทุกวันนี้

เทคนิคต่อมาที่อาจจะน่าหวาดเสียวหน่อย ก็คือเทคนิคให้สัตว์มีพิษกัดต่อยอวัยวะเพศให้เกิดอาการบวมและมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเทคนิคแบบนี้พบได้ตั้งแต่ในคัมภีร์กามาสุตราของอารยธรรมอินเดียที่มีการบอกให้เอาตัวต่อไปต่อยอวัยวะเพศ หรือนักเดินทางยุโรปก็มีบันทึกว่า ชนเผ่าในบราซิลสมัยก่อนมีการจงใจเอางูพิษมากัดอวัยวะเพศให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเช่นกัน

ถัดมา ทางวัฒนธรรมอาหรับโบราณก็มีเทคนิคที่เรียกว่า Jelqing หรือแปลตรงๆ จากภาษาอาหรับก็แปลว่ารีดนมซึ่งความหมายก็ตรงตัว คือมันเป็นเทคนิคการนวดรีดเลือดไปที่ปลายอวัยวะเพศ โดยเชื่อกันว่าการทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อวัยวะเพศจะขยายขึ้น ซึ่งทุกวันนี้เทคนิคนี้ก็มีการใช้กันอยู่ และมีการพัฒนาเป็นเครื่องนวดออกมาด้วย ซึ่งก็โฆษณาสรรพคุณว่าได้ผลกว่าใช้มือนวดดังเช่นในอดีต

หรือถ้าจะไปอีกวิธี อารยธรรมโบราณก็จะมีความเชื่อว่าการกินบางอย่างนั้นจะทำให้อวัยวะเพศขยายได้ เช่น ในบางชนเผ่าของแอฟริกาก็มีความเชื่อว่าถ้าปลูกต้นไม้ แล้วเอารากไม้มาผสมให้ลูกกินตั้งแต่เด็กๆ อวัยวะเพศของลูกก็จะเจริญเติบโตไปพร้อมๆ กับต้นไม้ หรือถ้าเป็นความเชื่อแบบจีนสมัยก่อน คนจีนก็จะเชื่อว่าการกินอวัยวะเพศของสัตว์นั้นก็จะเป็นการช่วยเสริมขนาดอวัยวะเพศของตนอีกด้วย

พอวิทยาการก้าวไกลหน่อย มันก็เริ่มเกิดอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่นเครื่องปั๊มสุญญากาศซึ่งเกิดตอนต้นศตวรรษที่ 20 แต่มาฮิตเอาช่วงทศวรรษ 1970 ซึ่งหลักการของเครื่องนี้คือการทำให้อวัยวะเพศไปอยู่ในภาวะสุญญากาศ เพื่อให้เลือดไปคั่ง และทำให้เซลล์ขยายตัว

หลังจากนั้นก็จะเริ่มมีพวกยาขยายอวัยวะเพศออกมาขายกัน (ทุกวันนี้ใครเข้าเว็บโป๊ก็คงจะเห็นยาพวกนี้ขายกันเกลื่อนกลาด) ซึ่งจริงๆ หลักการมันก็คล้ายๆ เครื่องปั๊มสุญญากาศ คือมันเป็นยาที่กินเข้าไปแล้วเลือดจะไปคั่งที่อวัยวะเพศที่ทำให้รู้สึกใหญ่บวมขึ้น

แล้วพอเริ่มมีเทคนิคด้านศัลยกรรมพลาสติก มันก็เริ่มมีไอเดียในการฉีดสิ่งต่างๆ เข้าไปในอวัยวะเพศ เพื่อให้บวมใหญ่ขึ้น ซึ่งในประเทศที่ศิวิไลซ์หน่อยก็จะใช้ วัสดุแบบซิลิโคนแบบเดียวกับที่ใช้ขยายขนาดหน้าอกผู้หญิง หรือถ้าจะแบบบ้านๆ หน่อยก็อาจใช้น้ำมันมะกอก ซึ่งแพทย์หลายท่านเห็นว่าบ้านเราใช้แบบนั้นกัน หรือก็มีรายงานว่า ถ้าเป็นที่เมียนมาก็จะใช้น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น แต่ผลก็ออกมาเป็นขนมปังไส้กรอกเหมือนกัน

เทคนิคที่ว่ามาแทบทั้งหมด ไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่าใช้ขยายขนาดอวัยวะเพศได้จริง หรือไม่ก็มีงานวิจัยมาชัดๆ ว่าไม่ได้ผล นอกจากนี้ หลายๆ เทคนิคที่ขยายอวัยวะเพศได้ ทางวงการแพทย์ก็มีความเห็นร่วมกันว่าเป็นเทคนิคที่อันตราย มีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นการหมดสิ้นความรู้สึกทางเพศที่อวัยวะเพศ หรือกระทั่งโอกาสจะติดเชื้อจนเน่าดังที่เป็นข่าวออกมามากมาย

ซึ่งก็เนื่องจากวงการแพทย์นั้นมีความเห็นร่วมกันว่า เทคนิคที่มีๆ กันมาทั้งหมดมันไม่เวิร์คหรืออันตรายเกินไป หมอจริงๆ ก็มักจะไม่นิยมทำการเสริมอวัยวะเพศให้กับคนไข้ (เว้นกรณีที่ถือเป็นความเจ็บป่วยจริงๆ อย่างภาวะ Micropenis) และนี่จึงเปิดโอกาสให้มีเหล่าหมอเถื่อนที่เสนอวิธีขยายอวัยวะเพศมากมายให้ผู้ชาย และเกิดอะไรอย่างขนมปังไส้กรอกมาในที่สุด

แต่ก็นั่นแหละ มนุษย์ไม่เคยพอใจในขนาดอวัยวะเพศของตนจนต้องหาวิธีขยายขนาดตั้งแต่มีบันทึกกันมา ดังนั้นความเห็นทางการแพทย์สมัยใหม่ก็คงไม่มีผลให้มนุษย์หยุดความต้องการตรงนี้เท่าไร อย่างไรก็ดี อันที่จริงความรู้สึกว่าอวัยวะเพศของตนสั้นเกินไปจำนวนมากก็เป็นอุปาทาน เพราะเอาจริงๆ แล้วถ้าเราติดตามผลสำรวจขนาดของอวัยวะเพศ เราจะพบว่าค่าเฉลี่ยมันสั้นลงๆก็เนื่องจากวิธีสำรวจที่ได้มาตรฐาน และการสุ่มตัวอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้หลายคนที่เคยตกมาตรฐานไปก็กลับมาเกินมาตรฐานด้วยซ้ำ