6 Min

รู้ไหม คุณสามารถลงทุนตามคำแนะนำของ Warren Buffet ด้วยเงินเพียง 500 บาท

6 Min
1003 Views
25 Jul 2022

คุณรู้ไหมว่าเมื่อปี 2008 ทามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ หนึ่งในนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เคยท้าเดิมพันโดยมีเงินเดิมพันถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ว่า ถ้าใครก็ตามสามารถหากองทุนรวมหรือเฮดจ์ฟันด์ใดๆ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนชนะกองทุนดัชนีได้ ก็เอาเงินก้อนนี้ไปเลย

มีผู้กล้าเดิมพันกับบัฟเฟตต์ 1 เจ้า คือบริษัทบริหารสินทรัพย์นามว่า Protégé Partners โดยทาง Protégé Partners ได้เลือกเฮดจ์ฟันด์ มา 5 กองทุนแบบไม่เปิดเผยชื่อ

การเดิมพันได้สิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2017 ผลคือ บัฟเฟตต์ชนะเดิมพันอย่างขาดลอย ผลตอบแทนของกองทุนดัชนีสูงกว่าพวกเฮดจ์ฟันด์แบบเทียบไม่ได้

ถ้าคุณไม่คุ้นเคยกับการลงทุนเลย คุณอาจสงสัยว่ากองทุนดัชนีนี่มันคืออะไร มีดียังไง เจ้าแห่งนักลงทุนอย่างบัฟเฟตต์ถึงเลือกที่จะถือหางในการเดิมพัน

และมากกว่านั้น เขาไม่ได้แค่ถือหางกองทุนดัชนีในการเดิมพันนี้เท่านั้น แต่เขาแนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการจะสร้างรายได้ไว้ใช้ในตอนเกษียณนั้นลงทุนในกองทุนแบบนี้ให้หมด

กองทุนดัชนีนั้นก็คือ กองทุนรวมประเภทที่จะไม่มีการทำการเลือกถือหุ้นเป็นตัวๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่กองทุนจะกระจายเงินลงทุนไปในหุ้นทุกตัวตามสัดส่วนของขนาดบริษัทในตลาดหุ้น (เช่นบริษัท A มีมูลค่าคิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ ของบริษัททั้งหมดในตลาดหุ้น กองทุนก็จะเอาเงิน 5 เปอร์เซ็นต์ ของกองทุนไปลงทุน) ซึ่งมันจะทำให้ผลตอบแทนออกมามีกราฟหน้าตาเหมือนดัชนีตลาดหุ้นเพราะดัชนีตลาดหุ้นก็ถูกคำนวณมาด้วยวิธีการแบบเดียวกัน

ซึ่งก็แน่นอน ดัชนีตลาดหุ้นก็มีหลายดัชนีในโลก ทุกตลาดหุ้นมีดัชนีของตัวเอง และในอเมริกาที่มี 3 ตลาดหุ้นก็ล้วนมีดัชนีประจำตัวกันหมด แต่สิ่งที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ แนะนำก็คือ ให้ซื้อกองทุนที่ลงทุนตามดัชนี S&P 500 ซึ่งก็คือดัชนีที่บ่งชี้สภาพตลาดหุ้นของอเมริกาผ่าน 500 บริษัทในอเมริกา ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดจากทุกตลาดในอเมริกา

ทั้งหมดอาจฟังดูซับซ้อน แต่ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ที่สุดก็คือ บัฟเฟตต์แนะนำว่าการลงทุนที่ดีที่สุดคือการกระจายการลงทุนกับมันไปให้หมดทุกบริษัทที่ใหญ่ๆ นั่นแหละ อย่าไปเลือกลงทุนมันแค่บางบริษัท เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าหุ้นบริษัทไหนจะขึ้นจะลงในระยะยาว ดังนั้นซื้อหุ้นไปให้หมดทุกบริษัทคือเซฟสุด และวิธีที่ง่ายที่สุดในการจะทำแบบนี้ก็คือไปลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500

มาถึงตรงนี้เราอาจจะสงสัยว่า ทำไมสุดยอดนักเลือกหุ้นของโลกที่เลือกหุ้นเก่งจนมาเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับท็อปของโลกถึงมาแนะนำว่าเวลาเราลงทุน เราอย่าไปเลือกหุ้นเป็นตัวๆ เลย?

คำตอบคือ บัฟเฟตต์ตระหนักดีว่าสำหรับคนทั่วๆ ไป การเป็นนักลงทุนที่เก่งมันเป็นสิ่งที่ยากแสนยาก และพูดง่ายๆ คือ เขาคิดว่าคนทั่วๆ ไปนั้นไม่ได้มีวิสัยทัศน์และประสบการณ์เพียงพอที่จะเลือกหุ้นเองได้ โดยเฉพาะตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ซึ่งเป็นเวลาที่โดยทั่วไปก็ถือว่าควรจะเริ่มลงทุนแล้ว

เท่านั้นยังไม่พอ สำหรับคนที่พอจะมีเงินจำนวนมากในอเมริกา ทั่วๆ ไปที่มีเงินมากพอ แต่ไม่ได้มีความรู้ทางการเงินมากมาย พวกเขาก็มักจะมีการจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน หรือไม่เอาเงินไปลงทุนในเฮดจ์ฟันด์ (ซึ่งก็คือกองทุนที่บริหารแบบอิสระที่ไม่เปิดขายให้นักลงทุนรายย่อย) เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด

สำหรับบัฟเฟตต์ เขามองว่าสิ่งเหล่านี้นี่แหละที่จะทำให้นักลงทุนไม่ได้ผลตอบแทนสูงสุด การไปจ้างที่ปรึกษาทางการเงินก็คือ ต้องไปเสียค่าปรึกษามากมายให้กับคนเหล่านี้ การเอาเงินไปให้เฮดจ์ฟันด์ลงทุนให้นั้นก็ต้องไปเจอค่าธรรมเนียมบริหารกองทุนแบบมหาโหดกว่ากองทุนรวมทั่วๆ ไปอีก (ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ คนที่จะเป็นผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ได้นั้นต้องเป็นนักลงทุนมือทอง ซึ่งก็ต้องได้รับผลตอบแทนค่าจัดการกองทุนมากกว่าผู้จัดการกองทุนปกติ)

พูดง่ายๆ คือ ถึงกองทุนพวกนี้จะสร้างผลตอบแทนเยอะ แต่คุณก็จะโดนกินส่วนแบ่งผลตอบแทนไปเยอะเช่นกันกว่ามันจะมาถึงมือคุณ และในระยะยาว ไอ้ที่คุณโดนกินส่วนแบ่งไปน่ะมันไม่น้อย

และนี่คือเหตุผลที่บัฟเฟตต์ชนะเดิมพันที่เล่ามาข้างต้น

อันที่จริงแล้ว ถ้าจะเอาให้เป๊ะ สิ่งที่บัฟเฟตต์แนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่ลงทุนกันยาวๆ ก็คือกองทุนดัชนี S&P 500 ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำโดยเฉพาะ (เพราะบางกองก็มีค่าธรรมเนียมสูง) ซึ่งนั่นก็ชัดเจนมากๆ ว่าตัวบัฟเฟตต์เองนั้นคิดว่าสิ่งที่จะมาแย่งผลตอบแทนของเราไปก็คือไอ้ค่าธรรมเนียม หรือพวกค่าจ้างนักลงทุนมือเซียนมาบริหารกองทุนนี่แหละ

และการที่กองทุนดัชนีสามารถมีค่าธรรมเนียมต่ำได้ ก็เพราะมันแทบไม่ต้องการอะไรเลยในการบริหาร มันไม่ต้องการทีมนักวิเคราะห์ใหญ่ๆ ที่ต้องมาแบ่งกันดูตลาดแต่ละตลาด แบ่งกันดูหุ้นเป็นกลุ่มๆ (เพราะคนเดียวดูไม่มีทางไหว) เพื่อให้การเลือกหุ้นของกองทุนเป็นไปได้ดีที่สุด เพราะก็ดังที่บอก กองทุนดัชนีนั้นจะเลือกลงทุนในบริษัทใดแค่ไหนก็แค่ต้องดูสัดส่วนของมูลค่าบริษัทในตลาดโดยรวมเท่านั้นเอง ซึ่งในทางการลงทุนมันจะมีคำเรียกแนวการลงทุนแบบนี้ว่า Passive Investment คือการลงทุนเชิงรับ หรือการลงทุนโดยไม่ต้องคิด โครงสร้างตลาดมายังไง ก็ลงทุนไปตามนั้น ซึ่งมันต่างจากการเก็งเลือกหุ้นเป็นตัวๆ เพื่อหวังให้ได้ตัวที่โตที่สุดซึ่งจะเรียกว่า Active Investment หรือการลงทุนเชิงรุก

จริงๆ แล้ว หลังจากที่บัฟเฟตต์ได้ท้าเดิมพันว่ากองทุนดัชนีนั้นแน่กว่าพวกกองทุนแบบอื่นเป็นไหนๆ ในแง่การให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน กองทุนดัชนีสารพัดก็เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด และนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ จำนวนมากก็เลือกจะลงทุนแนวนี้กัน และจริงๆ แล้วเศรษฐี Gen Y หน้าใหม่ในอเมริกาหลายๆ คนที่ทำงานเก็บเงิน และลงทุนจนสามารถเกษียณตอนอายุ 30’ ก็ออกมายืนยันแล้วว่า วิธีการบริหารเงินแบบนี้เวิร์ค

ซึ่งจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมามากมายบนโลกนับแต่ตอนนั้นก็ไม่ใช่แค่กองทุนดัชนีเท่านั้น แต่เป็นตัวดัชนีเองด้วย ทุกวันนี้ดัชนีหุ้นที่มีในโลกนั้นก็มีมากไปกว่าจำนวนหุ้นที่มีขายๆ กันทุกตลาดในอเมริกาเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าพอกองทุนดัชนีฮิต ก็มีการทำดัชนีกันมาสารพัด และก็มีกองทุนจำนวนมากลงทุนตามดัชนีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีของแต่ละภาคอุตสาหกรรม ดัชนีรวมฮิตประเทศที่ตลาดหุ้นกำลังโต (หรือที่เรียกว่าตลาดเกิดใหม่’) ดัชนีรวมฮิตหุ้นบริษัทจีนที่อยู่ในตลาดทั่วโลก ดัชนีรวมหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดัชนีหุ้นทั้งโลก ฯลฯ

แต่สิ่งที่ต้องย้ำก็คือ สิ่งที่บัฟเฟตต์แนะนำให้ลงทุนไม่ใช่กองทุนดัชนีอะไรก็ได้ เขาแนะนำให้ลงทุนกับกองทุนดัชนี S&P 500 โดยเฉพาะ เพราะนั่นคือการเดิมพันกับเศรษฐกิจอเมริกาโดยรวมแบบไม่แบ่งแยก พูดง่ายๆ คือ บัฟเฟตต์เชื่อในตลาดหุ้นอเมริกาที่ส่งเขาให้เป็นเศรษฐีจนทุกวันนี้ และถ้าเศรษฐกิจอเมริกายังโตได้ต่อไป (ดังที่มันโตมาเป็นร้อยปี) ดัชนีที่เป็นตัวชี้วัดสภาพตลาดหุ้นอเมริกาในภาพกว้างมันก็ย่อมจะโตต่อไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมากได้แน่ๆ ในระยะยาว

ซึ่งการไม่ต้องคิดอะไรมากนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่ลงทุนไปด้วยทำงานไปด้วย เพราะมันไม่ต้องดูจังหวะว่าตอนไหนควรจะซื้อกองทุนดี เพราะมูลค่าของหน่วยลงทุนในกองทุนดัชนีโดยธรรมมันจะขึ้นช้าๆ แต่ชัวร์ไปเรื่อยๆ มูลค่าจะไม่แกว่งไปมามากแบบหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้นปกติ (ไม่ต้องไปพูดถึงหุ้นเป็นตัวๆ ที่แกว่งมากกว่านั้นอยู่แล้ว)

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจคิดว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องของอเมริกา มันเป็นการลงทุนในหุ้นอเมริกา เราลงไม่ได้หรอก แต่ข้อเท็จจริงคือ กองทุนรวมในไทยก็มีที่ลงทุนแบบที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่าไว้ เช่น กองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอสแอนด์พี 500 (ASP-S&P 500) ของ บลจ. แอสเซทพลัส, กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (SCBS&P500) ของ บลจ. ไทยพาณิชย์, กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส พาสซีฟ (K-US500X) ของ บลจ. กสิกรไทย, กองทุนเปิดทหารไทย US500 Equity index (TMBUS500) ของ บลจ. ทหารไทย, กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์ (TISCOUS-A) ของ บลจ. ทิสโก้

กองทุนที่ว่ามาทั้งหมดนั้นเอาเงินไปลงทุนตามดัชนี S&P 500 ในอเมริกาอีกที และมันก็จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับที่บัฟเฟตต์ว่าไว้ 

ถ้าคุณไม่คุ้นเคยกับการลงทุน คุณอาจจะคิดว่าคุณไม่มีเงินจะเปิดพอร์ตใหญ่โตหรอก แต่จริงๆ คุณก็สามารถจะเริ่มลงทุนได้ด้วยเงินเพียง 500 บาท หรือกระทั่งน้อยกว่านั้น ได้ด้วยซ้ำ

ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนมีแค่บัตรประชาชน สมุดบัญชีธนาคาร เดินไปธนาคาร กรอกเอกสาร แล้วคุณก็เริ่มลงทุนได้เลย

แต่ถ้าสมัยนี้ มันง่ายกว่านั้นไปอีก เพราะถ้าคุณมีแอปธนาคารแนวโน้มคือเขาจะอำนวยความสะดวกให้คุณสามารถเอาเงินจากบัญชีธนาคารไปลงทุนในกองทุนที่อยู่ในเครือข่ายธนาคารได้เลย ซึ่งก็อย่างที่พูดด้านบน เอาจริงๆ ธนาคารในไทยใหญ่ๆ แทบทั้งหมด มีบริการลงทุนใน S&P 500 ทั้งนั้น และการลงทุนขั้นต่ำของบางธนาคาร ลงทุนแค่ 1 บาทเขายังให้เลย ถ้าลงทุนผ่านแอป เพราะเขาถือว่ามันไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร

และบางที การลงทุนตามที่หนึ่งในนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลกแนะนำว่า ควรจะทำเพื่อเงินไว้ใช้ตอนเกษียณก็น่าจะเป็นการทดลองที่ไม่เลวนะ

อ้างอิง