วีรชนหรือคนชั่ว? ‘ฌีล เดอเร’ เพื่อนร่วมรบของ ‘โจนออฟอาร์ก’ คือขุนนางฆาตกรข่มขืนต่อเนื่องแห่งฝรั่งเศส
โดยปกติเรามักนึกภาพวีรชนที่กลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบหลังสร้างวีรกรรมไว้ แต่ขุนนางผู้สร้างชื่อและวีรบุรุษสงครามผู้ห้าวหาญของฝรั่งเศสคนนี้กลับผันตัวไปเป็นฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อน
ชายผู้นี้คือ ฌีลส์ เดอ เรส์ (Gilles de Rais) เขาเป็นขุนนางฝรั่งเศสในช่วงท้ายๆ ของสงคราม 100 ปีระหว่างกษัตริย์อังกฤษและกษัตริย์ฝรั่งเศส เขายังเป็นผู้ดูแลและเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่หลายครั้งกับ ฌาน ดาร์ค (Jeanne d’Arc) ที่คนไทยคุ้นกับการเรียกแบบอังกฤษว่า ‘โจนออฟอาร์ค’ (Joan of Arc) จนนำชัยชนะมาสู่ฝรั่งเศสได้และอังกฤษขอสงบศึกชั่วคราวในปี 1435
ผลงานที่ผ่านมาทำให้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดประจำราชอาณาจักรด้วย
หลังสงครามจบลง ชีวิตและฐานะของฌีลส์ได้ตกต่ำลง เขาถลุงเงินที่มีอยู่ไปกับการแสดงมหรสพและใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนการเงินฝืดเคือง เขาเริ่มกู้ยืมเงินจนเป็นหนี้สินท่วมหัว และนั่นอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาหันหน้าเข้าสู่ไสยศาสตร์เพื่อหวังกอบกู้ฐานะและชื่อเสียงกลับมาใหม่
ฌีลส์ตามหาผู้เชี่ยวชาญมาทำพิธีเรียกปีศาจจากนรกอย่างบ้าคลั่ง เขาหวังจะให้ปีศาจช่วยสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองอีกครั้ง ซึ่งผลก็ออกมาอย่างที่เราคงรู้กันดี ไม่ว่าเขาจะทำพิธีตามตำราอย่างเคร่งครัดแค่ไหน ก็ไม่มีปีศาจปรากฏตัวออกมาแม้แต่น้อย เขาจึงเริ่มตั้งทฤษฎีเองว่า ปีศาจต้องการชีวิตเด็กมาสังเวยเพื่อให้ปรากฏตัวขึ้น
ในยามว่างเขาจะตระเวนไปตามเมืองน็องต์ (Nantes) ที่ตนพำนัก คอยเสาะหาเหยื่อวัยเยาว์ จากนั้นก็จะหลอกล่อหรือลักพาตัวเด็กๆ มาที่ปราสาทส่วนตัว ที่นั่นเองจะมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าสวยงามให้เด็กๆ และมีการจัดเลี้ยงให้ ก่อนที่เด็กจะถูกมอมไวน์และนำตัวไปยังห้องที่ฌีลส์กับพวกพ้องรออยู่ จากนั้นพวกเขาก็จะกระทำชำเราเด็กแล้วลงมือสังหารด้วยวิธีการอันหลากหลาย ทั้งการทุบตี ปาดคอ รัดคอ และวิธีการอื่นเท่าที่เหล่าฆาตกรจะสรรหา
ศพของเด็กๆ ถูกทำลายหลักฐานด้วยการเผาหรือสับเป็นชิ้นๆ คาดการณ์ว่าตลอดระยะเวลาหลายปี มีเด็กราว 100-200 รายที่ถูกแก๊งของฌีลส์ลักพาตัวไปสังหารโหด ผู้ปกครองของเด็กที่หายตัวไปต่างสงสัยว่าบุตรหลานของพวกเขาที่เข้าไปเล่นใกล้ๆ กับปราสาทขุนนางผู้นี้มักหายตัวไปอย่างลึกลับ เด็กบางคนที่ถูกยืมตัวไปก็หายสาบสูญเช่นกัน แต่ไม่มีใครที่กล้าเข้าไปสืบเรื่องนี้
แต่แล้วฌีลส์ก็เดินหมากพลาด เมื่อเขาไปทะเลาะวิวาทกับพระผู้หนึ่งและได้ส่งคนไปลักพาตัวพระมาที่ปราสาทในปี 1440 บิชอปท้องถิ่นจึงได้โอกาสนำเจ้าหน้าที่เข้าไปสืบสวนและบุกจับกุมฌีลส์กับพวกพ้องที่ปราสาทนั้นเอง ทั้งปรากฏหลักฐานและคำให้การคนใช้ในปราสาทที่ยืนยันว่ามีการสังหารและกระทำชำเราเด็กๆ อย่างต่อเนื่องในปราสาทแห่งนี้
แต่เมื่อการสืบสวนดำเนินไปเรื่อยๆ ขุนนางผู้นี้ได้ยอมรับสารภาพว่า เขาเริ่มลักพาตัวเด็กมากระทำชำเราและสังหารตั้งแต่สงครามยังไม่จบด้วยซ้ำ แต่เริ่มถลำลึกมากขึ้นก็ตอนที่เขาเริ่มตกอับ คำสารภาพของเขายังชวนสะอิดสะเอียนเสียจนบันทึกคำให้การสมัยนั้นยังต้องละเว้นข้อความส่วนนี้ไว้ ศาลจึงตัดสินให้ฌีลส์และพรรคพวกมีความผิดทั้งการฆาตกรรมและกระทำชำเราเด็ก รวมไปถึงข้อหาการกระทำนอกรีตที่ไปบูชาปีศาจ ทั้งแก๊งโดนโทษประหารโดยการแขวนคอและเผาทั้งเป็นไปพร้อมๆ กัน ซึ่งถือเป็นการประหารสำหรับความผิดร้ายแรงของสมัยนั้น
เรื่องนี้คงจะไม่สูญเสียไปมากขนาดนี้หากผู้กระทำไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจหรือตำแหน่งในสังคม แม้จะผ่านมาหลายศตวรรษ แต่โศกนาฏกรรมเช่นนี้จากน้ำมือผู้มีอำนาจหรือมีตำแหน่งสำคัญยังคงเกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้เหมือนสมัยก่อน
อ้างอิง
- AllThatsInteresting. How Gilles De Rais Went From Fighting Alongside Joan Of Arc To Murdering Children. https://bit.ly/3vsFEEs
- Britannica. Gilles de Rais: History’s First Serial Killer? https://bit.ly/3k68i9f
- Atlas Obscura. The Modern Movement to Exonerate a Notorious Medieval Serial Killer. https://bit.ly/3rv9bfh