เปิดเบื้องหลังการปั้นแบรนด์ FMCG สินค้าอุปโภคบริโภคที่คนไทยติดใจ จนใครๆ ก็ต้องมีติดบ้าน ในสไตล์ผู้นำตลาดอย่าง Neo Corporate

4 Min
821 Views
14 Dec 2023

ส่งต่อสินค้าคุณภาพดีที่ได้มาตรฐาน ตลอดระยะเวลา 34 ปี

สินค้าภายใต้บริษัท Neo Corporate เป็นที่ถูกพูดถึงในแง่ของการเป็น ‘สินค้าดีมีคุณภาพ’ เพราะตลอดระยะเวลา 

34 ปีที่ผ่านมา Neo Corporate มุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์สินค้าอุปโภคชั้นนำระดับสากล โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและควบคุมดูแลทุกกระบวนการ

ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์แต่ละประเภท โดยจัดหาจากผู้จัดจำหน่ายหลายรายที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลที่บริษัทกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติ ชั้นนำในต่างประเทศ  และทำสัญญาซื้อขายระยะสั้น เพื่อกำหนดปริมาณการสั่งซื้อและราคาไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องสำรองวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ในปริมาณมาก

รวมถึงพัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต โดยลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เช่น การควบคุมการผลิตผ่านระบบคอมพิวเตอร์ การติดตั้งเครื่องจักรอัตโนมัติ เพื่อให้กระบวนการผลิตดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เพื่อควบคุมคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

หัวใจสำคัญของการทำสินค้า FMCG คือเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง

แน่นอนว่าเมื่อวันเวลาเปลี่ยน พฤติกรรมของผู้บริโภคก็จะเปลี่ยนแปลงไป อย่างวิถีชีวิตของคนไทยที่ขยายสู่สไตล์สังคมเมือง (Urbanization) ทำให้หันมาใช้สินค้าที่มีความพิเศษและเฉพาะเจาะจง (Specific) แทนการใช้สินค้ามีคุณสมบัติพื้นฐาน และยินดีที่จะซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้น หากสินค้าดังกล่าวมีคุณภาพดีขึ้น ทำให้มีการขยายผลิตภัณฑ์จากกลุ่มแมสมาร์เก็ต (Mass Market) ไปสู่กลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) และในกลุ่มพรีเมียม (Premium) เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังหันมาใช้สารสกัดจากธรรมชาติที่อ่อนโยนต่อผิวมากขึ้นมาเป็นส่วนผสมตามแนวโน้มความนิยมของผู้บริโภคอีกด้วย

นอกจากนี้ แบรนด์ภายใต้ Neo Corporate ยังมีการพัฒนาให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยทีมวิจัยและพัฒนาที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ คอยสำรวจความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น เพื่อยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น (Uplift Essentials for Everyday Betterment)

เพราะโดดเด่นและแตกต่าง จึงสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า

เมื่อรู้ความต้องการของตลาดและพฤติกรรมของลูกค้าแล้ว จึงนำมาสู่การพัฒนาสินค้า อย่างในปี 2532 ที่มีการสำรวจจนเจอโอกาสทางธุรกิจว่าในตลาดยังขาดสินค้าที่เป็นของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) จึงเกิดเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่บริษัทเริ่มทำการตลาดคือ โคโลญให้ความหอมและโรลออนระงับกลิ่นกายสำหรับผู้หญิงภายใต้แบรนด์ เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) ที่เน้นความหอมสดชื่นยาวนานตลอดวัน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค จนมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของตลาดโคโลญสำหรับผู้หญิงตั้งแต่ปีแรก

นอกจากนี้ยังมีการออกผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กแบรนด์ ดีนี่ (D-nee) สำหรับเด็กแรกเกิด Organic Series และเพิ่มประสิทธิภาพช่วยลดกลิ่นอับชื้น และขยายไปสู่การผลิตสินค้ากลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) และระดับพรีเมียม (Premium) เช่น ผลิตภัณฑ์แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline)  มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำพร้อมบำรุงผิวสูตร Natural 

สู่ความสำเร็จของ Neo Corporate ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดสินค้า FMCG

จากปัจจัยทั้งหมดนี้จึงไม่แปลกใจว่าทำไม Neo Corporate ถึงครองตลาดในไทย และทำให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้บริษัทขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ในตลาดอย่างผลิตภัณฑ์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของตลาดโคโลญตั้งแต่ปีแรกที่ทำตลาด

และผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ทรอส (TROS) ที่เปิดตัวเมื่อปี 2533 ซึ่งมีทั้งโคโลญ โรลออน และโฟมล้างหน้าสำหรับผู้ชาย ผลิตภัณฑ์ทรอส โคโลญสามารถครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ในตลาดโคโลญสำหรับผู้ชายมาจนถึงปัจจุบันจากรายงานของ Frost & Sullivan

นอกจากนี้ยังมีการออกผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กแบรนด์ ดีนี่ (D-nee) สำหรับเด็กแรกเกิด Organic Series และเพิ่มประสิทธิภาพช่วยลดกลิ่นอับชื้น และขยายไปสู่การผลิตสินค้ากลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) และระดับพรีเมียม (Premium) เช่น ผลิตภัณฑ์แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline)  มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำพร้อมบำรุงผิวสูตร Natural

สู่ความสำเร็จของ Neo Corporate ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดสินค้า FMCG

จากปัจจัยทั้งหมดนี้จึงไม่แปลกใจว่าทำไม Neo Corporate ถึงครองตลาดในไทย และทำให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้บริษัทขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ในตลาดอย่างผลิตภัณฑ์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของตลาดโคโลญตั้งแต่ปีแรกที่ทำตลาด

และผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ทรอส (TROS) ที่เปิดตัวเมื่อปี 2533 ซึ่งมีทั้งโคโลญ โรลออน และโฟมล้างหน้าสำหรับผู้ชาย ผลิตภัณฑ์ทรอส โคโลญสามารถครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ในตลาดโคโลญสำหรับผู้ชายมาจนถึงปัจจุบันจากรายงานของ Frost & Sullivan

นอกจากนี้ในรายงานยังระบุว่า ผลิตภัณฑ์แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline)  ที่เปิดตัวเมื่อปี 2534 ด้วยผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่หันมาใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่ายมากขึ้น เพื่อลดเวลาในการดูแลเสื้อผ้า และออกบรรจุภัณฑ์แบบถุงชนิดเติมเป็นบริษัทแรกในประเทศไทย ทำให้หลังจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เพียง 2 ปี ผลิตภัณฑ์ไฟน์ไลน์รีดผ้าเรียบ มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 และยังเป็นผู้นำตลาดมายาวนานต่อเนื่องกว่า 12 ปี

หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ดีนี่ (D-nee) สำหรับเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก ที่เปิดตัวเมื่อปี 2540 ด้วยการเป็นผลิตภัณฑ์เด็กที่มีคุณภาพดี อ่อนโยน และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กดีนี่ จึงขึ้นมามีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ภายในปีแรกที่วางจำหน่าย และผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กดีนี่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 ในปี 2565 จนถึงปัจจุบัน

ก้าวต่อไปคือการนำสินค้า FMCG สัญชาติไทยไปตีตลาดในต่างแดน

เป้าหมายต่อไปของ Neo Corporate คือ การเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่นำสินค้าภายใต้แบรนด์ไทย ไปตีตลาดในต่างประเทศ ผ่านผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) ที่อยู่ในแต่ละประเทศ ซึ่งทำหน้าที่ทำการตลาดและกระจายสินค้า ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายตามเขตพื้นที่การจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 16 ประเทศ โดยประเทศที่ส่งออกหลักคือ เวียดนาม กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์

พร้อมใช้กลยุทธ์การรักษาคุณภาพสินค้าให้ดี จนเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริโภคต่างแดน และมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่มากขึ้น จากปัจจุบันที่สินค้าถูกกระจายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายตามเขตพื้นที่การจำหน่ายสินค้าในแต่ละประเทศนั่นเอง