ทำไม ‘ข่าวลือ’ ส่วนใหญ่ ถึงกลายเป็น ‘ข่าวจริง’ เรื่องนี้มีคำอธิบาย

3 Min
862 Views
03 Aug 2023

อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ

หลายครั้ง ‘ข่าวลือ’ ก็คือ ‘ข่าวปล่อย’ ซึ่งจงใจเผยแพร่เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม และมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า ‘ข่าวลือ’ คือการสะท้อนถึงสิ่งที่คนในสังคมกำลัง ‘กังวลหรือหวาดกลัว’ แต่พูดออกมาตรงๆ ไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะไม่เชื่อมั่นในคำยืนยันของผู้มีอำนาจ 

การแยกแยะว่าอะไรคือ ‘ข้อเท็จจริง’ อะไรคือ ‘ข้อมูลบิดเบือน’ ในยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้นโลกออนไลน์ และมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี Deepfake ก็ถือว่ายากเย็นมากพออยู่แล้ว พอมี ‘ข่าวลือ’ ที่ระบุต้นตอไม่ได้หรือไม่มีอะไรอ้างอิงชัดเจน จึงเป็นธรรมดาที่ข่าวลือต่างๆ จะถูกปฏิบัติไม่ต่างจากข้อมูลอันเป็นเท็จทั้งหลายแหล่

แต่หลายกรณี ข่าวที่เคยลือๆ กันก็กลับกลายเป็น ‘ความจริง’ ซึ่งมีงานวิจัยหลายชิ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้ศึกษาพลวัตของข่าวลือในรูปแบบต่างๆ จนเกิดเป็นข้อสรุปคล้ายๆ กันว่า ข่าวลือมักจะมี ‘เป้าหมาย’ ในการสื่อสาร โดยผู้ปล่อยข่าวและผู้ที่แพร่กระจายข่าวต่ออาจจะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันก็ได้ แต่ข่าวลือที่ผ่านกาลเวลามาได้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึก ‘เชื่อ’ ว่ามันจะเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น แต่ข้อมูลที่คนจงใจปล่อยออกมาในรูปแบบ ‘ข่าวลือ’ อาจมาจาก ‘ความคาดหวัง’ ว่าการแพร่กระจายข่าวจะส่งผลต่อการรับรู้หรือการตัดสินใจของคนในสังคม 

ยกตัวอย่าง ผลสรุปการสัมมนาด้านความมั่นคงของสถาบันวิชาการของสิงคโปร์ S. Rajaratnam School of International Studies ที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2010 ซึ่งเป็นช่วงที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากในการสื่อสารประเด็นทางสังคมและการเมือง ทำให้ ‘ข่าวลือ’ ที่เคยพูดกันแบบปากต่อปากในหมู่ผู้คนคุ้นเคย ก็กลายเป็นการสื่อสารที่ส่งถึงคนในวงกว้างได้ในเวลาอันรวดเร็ว และข่าวลือก็มีผลอย่างมากในการสะท้อนความวิตกกังวล หรือขับเคลื่อนประเด็นที่คนในสังคมกำลังสนใจ

ในการสัมมนาครั้งนั้น มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของนักวิจัยจากประเทศเอเชียหลายแห่ง ซึ่งเปรียบเทียบการปล่อยข่าวลือเพื่อหวังผลทางการเมืองยุคปลายศตวรรษที่ 20 กับการปล่อยข่าวลือในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเหล่านักวิจัยมีทั้งประเด็นที่เห็นพ้องและเห็นต่าง เพราะการปล่อยข่าวลือในบางประเทศมีผลเพื่อปลุกระดมให้คนเกลียดชังผู้ที่เห็นต่างจากตัวเอง แต่บางประเทศก็เพื่อเรียกร้องให้คนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอำนาจที่กดขี่หรือละเมิดสิทธิประชาชน 

อย่างไรก็ดี กรณีที่ ‘ข่าวลือ’ กลายเป็น ‘ความจริง’ ก็มีให้เห็นบ่อยๆ โดยบทความของ UNESCO ปี 2018 และงานวิจัยเชิงรัฐศาสตร์เปรียบเทียบที่เผยแพร่ใน Sage Journal เมื่อปี 2020 ระบุว่า ‘ข่าวปลอม’ หรือ Fake News กลายเป็นคำที่รัฐบาล (หรือขั้วการเมือง) ซึ่งมีอำนาจในหลายประเทศทั่วโลก นำมาใช้เรียก ‘ข้อมูลจริง’ ซึ่งอาจจะจริงบางส่วนหรือจริงทั้งหมด แต่ส่งผล ‘เชิงลบ’ กับผู้มีอำนาจเหล่านั้น จึงได้ปฏิเสธการดำรงอยู่ของชุดข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชนและบอกว่า ‘มันคือข่าวลือ’

ทว่าการปฏิเสธข้อเท็จจริงโดยแปะฉลากว่าข้อมูลนั้นๆ เป็น ‘ข่าวลือ’ หรือ ‘ข่าวปลอม’ ก็มักจะปกปิดได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายจะมีคนนำข้อมูลมาหักล้างหรือชี้แจงอยู่ดี เช่น กรณีรัฐบาลจีนกับ ‘ไวรัสอู่ฮั่น’ ก่อนที่จะมีการยืนยันว่ามันคือโควิด-19 

ส่วนอีกเหตุผลที่ทำให้ข่าวลือกลายเป็นข่าวจริง เกิดจากสิ่งที่นักวิชาการส่วนหนึ่งเรียกว่า ‘อุบายทางการเมือง’ (political ploy) ซึ่งมีการปล่อยข้อมูลต่างๆ ออกมาเพื่อจะ ‘หยั่งเชิง’ หรือ ‘โยนหินถามทาง’ สำรวจปฏิกิริยาตอบรับจากคนส่วนใหญ่ในสังคม ท่ามกลางข่าวลือที่ทำให้เกิดฝุ่นตลบจึงมี ‘ข่าวจริง’ รวมอยู่ด้วย และถ้าเรื่องนั้น ‘ไม่ถูกใจ’ ผู้คนส่วนใหญ่ ก็อาจจะกลายเป็นเพียงข่าวลือตลอดไป

แต่ในบางกรณี ข่าวลือก็สะท้อนถึงสิ่งที่คนในสังคมหวาดกลัว ซึ่งอาจเป็นได้ว่าสิ่งนั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง (ข่าวลือ ‘รัฐประหาร’ ในไทยก็น่าจะเข้าข่ายนี้) หรือเป็น ‘ประเด็นต้องห้าม’ ที่ผู้คนไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ได้ (เช่น เรื่องผู้นำศาสนา หรือประมุขของประเทศ) และประเด็นสุดท้ายก็เพราะรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ ‘ไม่มีความน่าเชื่อถือพอ’ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน แต่ก็ไม่ใช่แค่ข่าวลือในประเด็นทางการเมืองอย่างเดียว ยังรวมถึงข่าวลือด้านสาธารณสุขหรือความปลอดภัยสาธารณะด้วย 

กรณีหลังนี้เห็นได้สดๆ ร้อนๆ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากที่หลายประเทศเจอกระแสข่าวลือถล่มอย่างหนักเรื่องโควิด เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าข้อมูลที่ออกมาจากรัฐบาลจะเป็นความจริงทั้งหมด แต่เชื่อว่าอาจมีการปิดบังข้อมูลเพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่นมากกว่า พอมีข่าวลืออะไรออกมา คนก็พร้อมที่จะเชื่อมากกว่าคำยืนยันจากรัฐบาลเสียอีก

อ้างอิง