7 Min

Ex Machina (2014) ว่าด้วยเรื่องการมองเพศหญิงผ่านปัญญาประดิษฐ์ เมื่อเพศหญิงเป็นเพียงหุ่นยนต์ของเพศชาย

7 Min
208 Views
02 Oct 2022

*เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์

Caleb (Domhnall Gleeson) หนุ่มนักโปรแกรมในบริษัท Search Engine ชื่อดังบอกเล่าทฤษฎีที่เขาเคยร่ำเรียนมาในสมัยอยู่มหาวิทยาลัยให้กับ Ava (Alicia Vikander) มนุษย์ปัญญาประดิษฐ์หญิงฟัง แววตาของเธอแสดงความใคร่รู้และดูสนอกสนใจ จนเขาจินตนาการว่าหากเขาพาเธอออกไปจากห้องทดลองสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี้ได้ เรื่องราวของพวกเขาท้ังคู่ก็คงจะสวยงามไม่น้อย

Caleb มาอยู่ตรงหน้าปัญญาประดิษฐ์ที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์เพศหญิงแทบทุกตารางนิ้วของร่างกายได้อย่างไรก็คงจะตอบได้ว่าเขาเป็นผู้โชคดีที่ถูกเลือกจาก CEO ของบริษัท Nathan (Oscar Isaac) ผู้เลือกเขาให้มาร่วมทําการทดสอบ Turing Test ที่ทดสอบว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นจะสามารถให้ความรู้สึกเหมือนมนุษย์จริง ๆ ได้หรือไม่ หาก Caleb เกิดความรู้สึกที่แยกไม่ออกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นปัญญาประดิษฐ์หรือเป็นมนุษย์จริง ๆ ก็ถือว่าการทดสอบนั้นสําเร็จผล

Intimate Relationships with AI. In Ex Machina, Caleb was invited by his… |  by Yaxin | Medium

Nathan จัดให้ Caleb ได้พูดคุยกับ Ava อย่างเป็นกันเองเพื่อที่ตัวเขาจะสังเกตการณ์อยู่อีกห้องผ่านกล้องวงจรปิด การพูดคุยกับ Ava สร้างความประทับใจกับ Caleb เป็นอย่างมาก ความสมจริงของความเป็นมนุษย์ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางสีหน้า แววตาและคําพูดของปัญญาประดิษฐ์หญิงในร่างมนุษย์ เธอไม่เคยออกไปจากห้องทดลองที่เธออยู่เลยแต่ก็มีความรู้มากมายไม่จํากัดจากข้อมูลที่ Nathan ป้อนให้ อีกทั้งเธอยังมีแนวโน้มที่จะ เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมไม่ต่างจากมนุษย์จริง ๆ อีกด้วย

Ex Machina (2015) Review – FEMTROOPER

ยิ่งได้พูดคุยกับ Ava ยิ่งทําให้เขาเกิดความรู้สึกทึ่งปนหลงใหลในมนุษย์ปัญญาประดิษฐ์ผู้นี้ Ava เป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่เห็น มีลูกเล่นและชั้นเชิงในการพูดคุย หลากหลายคําพูดของเธอทําให้เขารู้สึกเริ่มรู้สึกว่าเธอกําลังให้ท่าเขาอยู่ Caleb ได้มาปรึกษา Nathan ว่ามันถูกตั้งโปรแกรมออกมาให้มีท่าทีดังกล่าวหรือไม่ และคําตอบที่เขาได้รับคือ Nathan เพียงแค่ตั้งโปรแกรมไว้ให้ Ava ชอบเพศตรงข้าม เธอเป็นเพศหญิงและแน่นอนว่าเธอมีอวัยวะเพศ (ที่สืบพันธุ์ไม่ได้แต่มีเซ็นเซอร์ที่สร้างความประทับใจแก่เพศตรงข้ามได้) สิ่งที่ Nathan ทําก็เพื่อที่จะให้ ปัญญาประดิษฐ์นี้สามารถเข้าถึงการรับรู้ความรู้สึกและจิตสํานึกตรงตามแบบมนุษย์มากที่สุด

Nick Olszyk: “Ex Machina” Looks Great, Thinks Poorly – Catholic World Report

การพูดคุยระหว่าง Caleb และ Ava ดําเนินต่อไปตามปกติ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์น่าผิดสังเกตก็เกิดขึ้น เมื่อระบบไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขัดข้องทุกครั้งขณะทําการทดลอง สิ่งที่ผิดแปลกไปคือขณะที่ไฟถูกตัด กล้องวงจรปิดไม่ทํางาน Ava มีท่าทีที่แปลกไปและบอกกับ Caleb ว่าไม่ควรเชื่อใจ Nathan เพราะเขาโกหก สิ่งที่เกิดขึ้นทําให้ Caleb เริ่มเคลือบแคลงใจในตัว Nathan ขึ้นมา เขายังพบอีกว่า Nathan ได้มีสาวรับใช้ส่วนตัวสัญชาติญี่ปุ่นนามว่า Kyoko (Sonoya Mizuno) ซึ่งภายหลัง Caleb ได้รับรู้ความจริงว่าเธอเป็นมนุษย์ปัญญาประดิษฐ์อีกตัวที่ Nathan สร้างขึ้นมาเพื่อใช้สนองความต้องการทางเพศและดูแลรับใช้ส่วนตัว ยิ่งไปกว่านี้ Caleb ยังพบว่า Nathan ได้เก็บโมเดลของมนุษย์ปัญญาประดิษฐ์เพศหญิงอีกหลากหลายสัญชาติไว้เพื่อใช้พัฒนาในอนาคตอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ Caleb ก็ไม่พอใจเพราะคิดว่าตนถูกหลอกให้มาเป็นหนูทดลองเพื่อจะทําการกระทําชําเราและกักขังเหล่าปัญญาประดิษฐ์ที่มีจิตใจเหมือนมนุษย์เหล่านี้

How the Control of Information in 'Ex Machina' Demands Attention

Caleb ตัดสินใจที่จะช่วย Ava ให้หลุดพ้นจากการกักขังของ Nathan เขาให้คํามั่นสัญญากับเธอว่าจะมอมเหล้า Nathan และใช้โอกาสนั้นพาเธอออกไปสู่โลกภายนอกด้วยกันและเมื่อวันเวลานั้นมาถึง Caleb ทําสําเร็จในการปล่อยตัว Ava ออกมาจากห้องทดลอง แต่เขากลับถูก Nathan ต่อยจนสลบไป แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่า Nathan ได้เสียชีวิตจากน้ำมือของปัญญาประดิษฐ์หญิงทั่งคู่ ส่วน Kyoko นั้นก็พังจากการต่อสู้กับ Nathan เรื่องราวไม่ได้เป็นดั่งที่ Caleb คิดไว้เพราะเมื่อกําจัด Nathan ได้แล้ว Ava กลับทิ้งให้ Caleb อยู่ในห้องที่ปิดตายจากไฟฟ้าลัดวงจรและออกไปสู่โลกภายนอกในฐานะมนุษย์ (ปัญญาประดิษฐ์) เพศหญิงโดยลําพัง

Ex Machina กํากับโดย Alex Garland ผู้กํากับที่มีผลงานกํากับภาพยนตร์แนว Sci-fi ดิสโทเปีย หลากหลายเรื่อง เช่น Annihilation (2018), 28 Days later (2002), Never let me go (2010) สําหรับ ภาพยนตร์เรื่อง Ex Machina นี้ Alex ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสมจริงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัย เป็น AI ที่มีความสามารถมากพอที่จะพัฒนาศักยภาพทั้งด้านความรู้และจิตใจให้เทียบเคียงกับความเป็นมนุษย์มาก ที่สุด ทั้งฉาก ตัวละคร และสภาพแวดล้อมในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีความสมจริงตามแบบโลกอนาคตที่เทคโนโลยีนั้นก้าวหน้าไปถึงขีดสุดจนบางครั้งเส้นที่แบ่งกั้นระหว่างความเป็นจริงและความไม่จริงก็อาจมองไม่เห็นได้

ลักษณะดังกล่าวสะท้อนความเป็น Post Modernism ที่ไม่ได้ผูกติดว่าสิ่งหนึ่งจะต้องเป็นจริงตามคําบอกเล่าทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการมองความจริงควบคู่ไปกับบริบท สิ่งหนึ่งเป็นได้ทั้งจริงและไม่จริงขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้วิเคราะห์ด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากตัวละครอย่าง Caleb ที่หลงไปกับลักษณะของ AI ที่มีความเป็น hyperreality หรือมีความสมจริงขั้นสุดจนไม่สามารถแยกออกว่า Ava นั้นชอบเขาหรือมันเแค่เพียงถูกตั้งโปรแกรมขึ้นมาเท่านั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ทําให้เราตั้งคําถามถึงความเป็นมนุษย์ว่าแท้จริงแล้วอะไรเป็นสิ่งที่นิยามความเป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ ใช่การมีจิตใจที่คิดถึงผู้อื่น การมีสิทธิ์ในร่างกายของตนเอง หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่แล้วแต่ความคิดอันเป็นปัจเจกของแต่ละบุคคลจะพึงคิด

Ex Machina': Of Machines and Men | Backseat Directing

Ex Machina ไม่ได้เพียงทําให้เราตั้งคําถามว่าความเป็นมนุษย์คืออะไรเท่านั้น เพราะเมื่อวิเคราะห์การนําเสนอในภาพยนตร์ก็จะพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แฝงไว้ซึ่งผลร้ายของการมองเพศหญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ (Female objectification) ลักษณะการมองดังกล่าวนี้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านตัวละครหลักชายทั้ง Nathan และ Caleb ผู้ซึ่งรับรู้ว่าเพศหญิงในเรื่องเป็นมนุษย์ปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและจิตใจแบบ Homosapien ตามธรรมชาติ

เหตุใดปัญญาประดิษฐ์ที่ Nathan สร้างขึ้นจึงต้องมีเพศ เขาอาจจะให้คําตอบว่าเพื่อให้ AI เหล่านั้นมีการเรียนรู้ที่จะรู้สึกตามแบบมนุษย์มากที่สุด ซึ่งเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ในฐานะที่ Nathan เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้พัฒนาเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย แต่สิ่งที่น่าวิเคราะห์คือจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการสร้างเพศ AI ขึ้นมาไม่ใช่แค่เพื่อทดสอบความเป็นมนุษย์ แต่เพื่อให้มันสามารถตอบสนองทางเพศของเพศชายได้ Nathan มองว่าเมื่อถึงจุดที่ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้มีพัฒนาการอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์มากที่สุด การใช้สรีระเพศหญิงให้เป็นประโยชน์น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

สิ่งนี้ที่สะท้อนให้เห็นว่า Nathan มีความคิดว่าประโยชน์ของมนุษย์เพศหญิงคือการที่พวกเธอให้ความสุข ทางเพศได้ ต่อให้ AI เหล่านั้นจะพัฒนาจนมีความเป็น “มนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ” Nathan ก็ไม่ได้มองว่าพวกเธอมีสถานะของความเป็นมนุษย์ในแบบเดียวกับเขา หรือกล่าวอีกแง่หนึ่งคือสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคิดเบื้องลึกว่า Nathan ผู้เป็นเพศชายมีสถานะที่เหนือกว่า AI ผู้เป็นเพศหญิงผ่านการมองว่าเพศหญิงคือวัตถุทางเพศ เมื่อ Nathan คิดว่าตนมีสถานะที่เหนือกว่า เขาก็วางกรอบให้ AI เหล่านั้นประพฤติตามแบบที่เขาคิดว่าเพศหญิงควรจะเป็นได้ เช่น การรับใช้งานบ้าน การให้การตอบสนองทางเพศ การวางกรอบวิธีการพูดไม่ให้ออกปากออกคํา (หรือ ไม่ให้พูดได้เลย) หรือวิธีการแต่งตัวที่เขาคิดว่าเพศหญิงควรจะสวมใส่นั้นก็แสดงถึงการด้อยค่าความเป็นมนุษย์ในเพศหญิงทั้งนั้น

The greatest scene from Ex Machina - YouTube

กล่าวได้ว่าการสร้าง AI ขึ้นมาตามแบบของ Nathan ไม่ต่างอะไรจากการกดทับผู้หญิงภายใต้สังคมแบบ ชายเป็นใหญ่ในสังคมปิตาธิปไตยเพศชายเป็นเพศที่มีอํานาจมากกว่าเพศอื่น ๆ และลักษณะของผู้หญิงที่ดีนั้นอยู่ภายใต้กรอบแนวคิดว่าเพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ บอบบาง ต้องอยู่ในการดูแลของเพศชายเท่านั้น AI เพศหญิงที่ถูกนําเสนอออกมาจึงเป็นตัวแทนของเพศหญิงในสังคมดังกล่าว ซึ่งจะเห็นได้จากในภาพยนตร์ว่าเป็นพิษกับพวกเธอมากเพียงใด กรอบแนวคิดนี้ได้สร้างทรมานใจและความอึดอัดใจให้กับผู้หญิงเป็นอย่างมากดั่งว่าถูกขังอยู่ในห้องสีเหลี่ยมที่ไม่มีทางออกไปได้ บางคนไม่มีสิทธิ์ออกปากออกเสียงกับการกระทําของผู้ชายที่เหยียบย่ําข่มเหงพวกเธออยู่ด้วยซ้ํา

รูปแบบของการกดทับทางเพศไม่ได้จํากัดอยู่แค่การกระทําที่โหดร้ายแบบ Nathan เท่านั้น แต่ยังแสดงออกมาให้เห็นผ่านรูปแบบของ “ผู้ชายที่แสนดี” อย่าง Caleb ด้วย จากในภาพยนตร์จะเห็นว่า Caleb นั้นมีจิตใจ ที่ดี เขาไม่เคยคิดร้ายต่อมนุษย์ปัญญาประดิษฐ์คนไหนทั้งสิ้น อีกทั้งยังพยายามช่วยเหลือให้ Ava สามารถหลุดออก จากการกักขังของ Nathan ด้วย แต่เพราะเหตุใด Ava ถึงทรยศหักหลังเขาด้วยการขังเขาไว้และเลือกที่จะออกไปสู่ โลกภายนอกคนเดียว คําตอบก็คือเพราะการกระทําของ Caleb นั้นเป็นการด้อยค่าเพศหญิงทางอ้อม ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้ต่างอะไรจากการมองผู้หญิงแบบ Nathan เลย

Caleb คิดว่าหากตนสามารถช่วย Ava ให้ออกไปสู่โลกภายนอกได้ เขาจะกลายเป็นพระเอกของเรื่องนี้ เธอและเขาอาจได้ไปเดทกันและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่แย่ แต่ลึก ๆ แล้วเมื่อมา วิเคราะห์ดูก็จะพบว่าการกระทําที่ดีของ Caleb นั้นทําไปเพื่อหวังผลอะไรบางอย่างจาก Ava เพราะเธอถูกตั้ง โปรแกรมให้มีรูปลักษณ์ตามสเปคที่เขาชอบและสามารถสร้างความพึงพอใจทางเพศให้เขาได้ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่Caleb จะไม่ได้มองเธอในฐานะเพื่อนร่วมโลกที่มีจิตใจเทียบเคียงกับมนุษย์ แต่มองว่าเธอเป็น AI หญิงที่ต้องอยู่ ภายใต้การดูแลของเขาเท่านั้นเธอถึงจะปลอดภัย สะท้อนได้ว่าเขามองเพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอและต้องได้รับการ คุ้มครองจากเพศชายจึงจะอยู่รอดในโลกใบนี้

CINE Y PSICOLOGÍA: EX MACHINA (Alex Garland, 2015): reflexiones en torno a  la consciencia.

การมีอยู่ของ Ava ทําให้ Caleb กลายเป็นคนสําคัญขึ้นมา เขาได้ประโยชน์จากเธอทั้งด้านร่างกายและจิตใจจึงให้การช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะช่วย Kyoko ผู้ถูกกระทําเหมือนกัน แต่เขาเลือกที่จะเมินเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Kyoko นั่นก็เป็นเพราะเธอไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขา ให้ความพึงพอใจทางเพศในแบบที่เขาต้องการ ไม่ได้ Caleb จึงเป็นตัวแทนของการกดทับทางเพศในรูปแบบที่แฝงไว้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษคนดี

เมื่อกล่าวถึง Kyoko ก็จะพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งที่น่าวิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีกคือประเด็นในเรื่องของเชื้อชาติ Ava เป็นตัวแทนของผู้หญิงผิวขาวที่พยายามหลุดพ้นจากกรอบอํานาจทางสังคมที่ตั้งไว้ให้พวกเธอต้องดําเนินตาม สุดท้ายจะเห็นว่าโอกาสที่ผู้หญิงผิวขาวอย่างเธอจะก้าวพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่นั้นมีมากกว่าผู้หญิงแบบ Kyoko ผู้มีสัญชาติเป็นชาวเอเชีย ตัวละครอย่าง Kyoko แสดงให้เห็นถึงผู้ที่ถูกกดทับจากอํานาจของเพศชายเป็นเวลานาน เธอรับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลเสียกับเธออย่างไร แต่เธอไม่ได้พยายามจะขัดขืนหรือหนีไปเหมือน Ava เพราะคิดว่าเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะทําแบบนั้นได้ เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะทําความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ํา

อิทธิพลของการมองเพศหญิงเอเชียก็ถูกนําเสนอออกมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน วงการภาพยนตร์ ฮอลลีวูดสร้างภาพจําของผู้หญิงเอเชียตามกรอบของผู้ชายผิวขาว บทบาทของ Kyoko รวมถึงสาวเอเชียคนอื่น ๆ จึงวนเวียนอยู่แค่สาวรับใช้ โสเภณี หรือผู้หญิงที่มีแรงดึงดูดทางเพศสูง พวกเธอเป็นเพียงวัตถุทางเพศที่ตอบสนองต่อความต้องการของเพศชาย ไม่ได้ถูกมองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

More human than human: the making of Ex Machina's incredible robot | The  Verge

Ex Machina เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงการมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศผ่านตัวแทนของปัญญาประดิษฐ์ ที่แสดงให้เห็นว่ามีผู้หญิงอีกหลายคนที่มีทั้งความชอบและความสามารถมากล้นแต่ไม่สามารถออกจากห้องสีเหลี่ยม เล็ก ๆ ที่ปิดกั้นเธอจากโลกภายนอก อันเป็นโลกที่จะทําให้เธอเข้าใจว่ามนุษย์คนหนึ่งสมควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างไร เพราะกรอบทางสังคมแบบปิตาธิปไตยที่กดทับและจํากัดให้พวกเธอเป็นในสิ่งที่สังคมอยากให้เป็น หากใครพยายามจะเรียกร้องให้ตัวเองหลุดพ้นจากห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆนี้ ก็จะถูกมองว่าพวกเธอเป็นหัวต่อต้าน กบฏการและเกลียดชังผู้ชาย

แต่หากลองถอดแว่นตาของการมองแบบคนที่อยู่ในสังคมปิตาธิปไตยมานาน แล้วสวมแว่นของการมองว่า ทุกเพศมีคุณค่าของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ก็คงจะเข้าใจว่าสิ่งที่ Ava ทําไม่ใช่การทรยศหักหลัง แต่เป็นการพยายามจะออกจากสื่งที่กดทับความเป็นมนุษย์ของเธออยู่ก็เท่านั้น