4 Min

อีลอน มัสก์ ชนะ เจฟฟ์ เบโซส์ ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ว่าแต่…เขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

4 Min
225 Views
08 Jan 2021

ปี 2020 เป็นปีที่คนจำนวนมากประสบความยากลำบากในชีวิต ‘มาก’ ในระดับที่หลายคนถึงกับต้องปลอบใจตัวเองหรือเพื่อนๆ ว่า “ปีนี้มันไม่มีใครไม่ล้มเหลวหรอก”

ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะปีนี้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกเข้าขั้นหายนะ ในภาพใหญ่ดูจะไม่มี “ผู้ชนะ” มีแค่คนที่เจ็บสาหัส หรืออย่างน้อยก็เจ็บแบบได้แผล

แต่ถ้าดูละเอียด ในปีนี้ก็มีธุรกิจหลายๆ อย่างและหลายๆ คนที่ “พลิกวิกฤติเป็นโอกาส” และรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด

และถ้าจะมีมนุษย์สักคนที่จะเรียกว่าเป็น “ผู้ชนะ” แห่งปี 2020 ก็คงจะหนีไม่พ้น CEO หนุ่มใหญ่ Gen X นามว่าอีลอน มัสก์ (Elon Musk)
ทำไมเขาถึงเป็น “ผู้ชนะ”?

เอาง่ายๆ คือ ณ ตอนนี้ ยังไม่พ้นสัปดาห์แรกของปี 2021 เขาได้ขึ้นแท่น “เศรษฐีอันดับ 1 ของโลก” แซงแชมป์เก่าอย่างเจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) แห่ง Amazon ไปเรียบร้อยแล้ว

แต่เอามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เราต้องมองย้อนกันไปหน่อย

1.

ถ้ามองภาพใหญ่ย้อนไปปีที่แล้ว ตลอดปี 2020 นี้อีลอน มัสก์คือคนที่ “รวยขึ้นมากที่สุด” ในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตอนต้นปี 2020 เขามีสินทรัพย์รวมๆ ประมาณ 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก็แน่นอนว่านั่นก็รวยมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้รวยติดอันดับ 1 ใน 30 ของคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วยซ้ำ

แต่พอใกล้สิ้นปี 2020 อีลอน มัสก์กลับพลิกมาเป็นคนที่รวยติด Top 3 ของโลก (ติดอันดับไหน แล้วแต่ราคาหุ้นในวันนั้น) ซึ่งตอนพีกๆ ในปี 2020 เขาเป็นรองแค่เจฟฟ์ เบโซส์ ซึ่งก็คือเขารวยยิ่งกว่า บิล เกตส์ (Bill Gates) เสียอีก

กล่าวอีกแบบ สินทรัพย์ของอีลอน มัสก์เพิ่มจาก 25,000 ล้านเหรียญเป็น 140,000 ล้านเหรียญภายในเวลาไม่ถึงปี
คำถามคือมันเกิดอะไรขึ้น?

2.

เราต้องเข้าใจโครงสร้างสินทรัพย์ของมัสก์ก่อน

สินทรัพย์ของมัสก์ ณ ปลายปี 2020 ประมาณ 20% คือหุ้นของ SpaceX อีก 80% คือหุ้นของ Tesla

สำหรับ SpaceX เป็นบริษัทที่ยังไม่เข้าตลาดหุ้น และอีลอน มัสก์ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 50% ซึ่งบริษัทนี้ประสบความสำเร็จในการเดินทางไปอวกาศในเชิงพาณิชย์เรื่อยๆ เรียกว่าเป็นบริษัทเอกชนบริษัทแรกในโลกที่ส่งจรวดไปอวกาศได้ (อันนี้พูดง่ายๆ นะครับ) และก็มีความก้าวหน้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นมูลค่าบริษัทก็ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสินทรัพย์ประมาณ 15,000 ล้านเหรียญของมัสก์ก็มาจากหุ้นที่เขาถือใน SpaceX

แต่ไฮไลต์จริงๆ คือหุ้นของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ในปีนี้ปีเดียวขึ้นมากว่า 8 เท่าตัว เรียกได้ว่าช่วงต้นปีราคาหุ้นยังอยู่ที่หุ้นละ 80 เหรียญอยู่เลย แต่มาตอนนี้ (ปลายปี 2020) ราคาหุ้นทะลุ 650 เหรียญแล้ว
และนี่คือตัวการหลักที่ทำให้มัสก์พลิกจากคนที่ไม่ติดอันดับมหาเศรษฐี Top 30 กลายมาเป็นมหาเศรษฐี Top 3 ของโลก

3.

อีลอน มัสก์ เป็นคนที่เต็มไปด้วยทัศนวิสัยระดับสุดยอดอยู่แล้ว ไอเดียแต่ละอย่างของเขาเจ๋งสุดๆ มาตลอด ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า ไฮเปอร์ลูป เชื่อมคอมพิวเตอร์เข้ากับสมองคน ฯลฯ

แต่หลายปีมานี้ สิ่งที่คนกังขามากๆ คือเขาจะมีปัญญาแปลงไอเดียมาเป็นสินค้าได้จริงไหม? ซึ่งคำถามนี้เกิดจริงจัง เมื่อคนเห็นว่าแม้ยอดจองรถยนต์ล้นหลาม แต่บริษัท Tesla กลับผลิตรถยนต์ออกมาได้ช้ามาก พูดง่ายๆ คือไอเดียดี แต่ไม่มีปัญญาทำการผลิตจริงๆ มาขายให้ได้ตามความต้องการตลาด และผลก็คือ บริษัทก็ขาดทุนมาหลายปีติดกัน

นี่เป็นเหตุที่หุ้นของ Tesla นิ่งมาตลอด 4-5 ปี ที่ราคาประมาณ 40-50 บาท และในปี 2019 ถ้าจำได้ มีข่าวด้วยซ้ำว่า Tesla จะเจ๊ง ซึ่งตอนนั้นคือหุ้นตกลงด้วย

แต่สิ่งที่พลิกคือในที่สุด Tesla ก็เริ่มผลิตรถออกมาได้ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2019 และนี่ทำให้ปี 2019 เป็นปีแรกที่ Tesla มีกำไรตั้งแต่ตั้งบริษัทมาในปี 2003

นี่อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยมากในความเห็นของเรา แต่ในโลกการเงินนี่คือเรื่องใหญ่มาก สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนยอมรับอีลอน มัสก์ ว่า “ไอ้นี่มันของจริงเว้ย”

4.

นับแต่ตอนนั้น หุ้นของ Tesla ก็ขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด (แน่นอนว่า “สะดุด” เล็กๆ ตอนล็อกดาวน์ แต่จากนั้นก็ขึ้นอย่างต่อเนื่อง) และก็ไม่ได้ขึ้นลอยๆ เพราะผลประกอบการของปี 2020 ของ Tesla ก็ยอดเยี่ยม เพราะบริษัทบอกว่าจะผลิตรถให้ได้ 500,000 คันในปีนี้ และดูทรงแล้ว ก็น่าจะทำได้อย่างไม่มีปัญหา

ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่โลกกำลังปวดหัวกับการสู้โควิด-19 ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในตัวอีลอน มัสก์และ Tesla ขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลให้หุ้นขึ้นไม่หยุด ในระดับที่ราคามันสูงจนบ้าบอ แล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ

นี่คือความสำเร็จทางธุรกิจในปี 2020 ที่ชาวบ้านชาวช่องย่ำแย่กันทั้งโลก ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า Tesla และอีลอน มัสก์ นี่เป็น ‘ของจริง’ ไม่ได้ฟลุกประสบความสำเร็จในไตรมาสสองไตรมาส เพราะตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2019 เป็นต้นมา Tesla ได้กำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในมุมการลงทุนจะมองว่า นี่แหละเป็นจุดที่การยอมขาดทุนเพื่อลงทุนในการค้นคว้าวิจัยต่างๆ หลายต่อหลายปีกลายมาเป็นเงินได้จริงๆ

แน่นอน นอกจากภาพธุรกิจที่สดใส อีกด้านหนึ่งอีลอน มัสก์ ก็ยังมี “วีรกรรม” ย่อยๆ มาชวนให้ขมวดคิ้ว ตั้งแต่ไม่เชื่อว่าโควิด-19 จะร้ายแรงจริงๆ ไปจนถึงทวิตว่าราคาหุ้น Tesla สูงไปจนหุ้นตกมาแวบนึง

แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าปี 2020 นี้คือปีของอีลอน มัสก์จริงๆ และไม่แปลกที่นิตยสาร Fortune ยกให้เขาเป็นนักธุรกิจแห่งปี 2020

ซึ่งก็สมศักดิ์ศรีแล้วที่ “ไอรอนแมนในโลกแห่งความเป็นจริง” ผู้นี้จะขึ้นแท่น “คนรวยที่สุดในโลก” สำเร็จตั้งแต่ต้นปี 2021

5.

แต่คนที่ดูจะไม่ยินดียินร้ายกับ “ความร่ำรวย” ของตัวเองก็คือ อีลอน มัสก์ นี่แหละ เขาดูไม่ได้สนใจมานานแล้วว่าเขาจะรวยแค่ไหน แต่เขาสนใจแค่ว่าเขาจะมีเงินมาทำโปรเจกต์ที่เขาชอบหรือไม่

ซึ่งก็แน่นอน ทุกๆ โปรเจกต์ของมัสก์ก็ “ล้ำ” สุดๆ ระดับคนกังขาว่าจะทำได้จริงไหม หรือให้ตรงกว่านั้นก็คือ จะเอาไปแปลงเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรได้จริงๆ เหรอ?

แต่ก็นั่นแหละครับ อย่างที่เล่ามา ถ้ามันแปลงเป็นเงินได้เมื่อไหร่ ผลิตเอามาขายได้จริงๆ ล่ะก็จะปังทันที ดังที่เกิดขึ้นกับ Tesla และส่งผลให้อีลอน มัสก์ กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกในปัจจุบัน

อ้างอิง: