‘กางเขนไม่กางแขนแห่งโตเลโด’ เมื่อผู้ชายไม่เคยรักษาคำสัญญา พระเจ้าเลยเอื้อมมือลงมา ทวงรักให้กับหญิงสาว
ห่างไปจากกรุงมาดริด เมืองหลวงของสเปนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็นที่ตั้งของหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในสเปน มีชื่อว่า ‘โตเลโด’ (Toledo) เมืองนี้เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานด้วยการเป็นอดีตเมืองหลวงของจักรวรรดิสเปน และเป็นที่ตั้งของไม้กางเขนชิ้นหนึ่งชื่อว่า ‘เอล คริสโต เด ลา เวกา’ (El christo de la vega) โดยมันเป็นไม้กางเขนที่มีรูปร่างแตกต่างจากไม้กางเขนทั่วไป เนื่องจากพระเยซูที่มีขนาดเท่าคนจริงของไม้กางเขนชิ้นนี้จะเอื้อมมือลงมาข้างหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าที่มาของการที่พระเยซูเอื้อมมือลงมาเช่นนี้ มาจากเรื่องราวความรักของชายหญิงคู่หนึ่งในเมือง เมื่อเกือบ 100 กว่าปีก่อน
ตำนานเล่าว่า มีคู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายชายชื่อว่า ‘ดิเอโก มาร์ติเนซ’ (Diego Martinez) และฝ่ายหญิงมีชื่อว่า ‘อิเนส เด วาร์กัส’ (Ines de Vargas) ทั้งสองรักกันมากและลักลอบได้เสียกันก่อนแต่งงาน พ่อของฝ่ายหญิงจึงให้ฝ่ายชายสัญญาว่าจะแต่งงานกับลูกสาวตนเพื่อรับผิดชอบ ทว่าขณะนั้นเองฝ่ายชายก็ถูกเรียกตัวไปช่วยรบที่สมรภูมิ ‘แฟลนเดอร์ส’ ดิเอโกที่ไม่อยากให้คนรักของตนกังวลเรื่องงานแต่ง จึงชวนฝ่ายหญิงไปสาบานต่อหน้าไม้กางเขนที่อยู่ตั้งอยู่ในมหาวิหาร ‘เซนต์ลีโอคาเดีย’ ว่าหลังจากเสร็จสิ้นสงครามแล้วจะกลับมาแต่งงานกับหญิงสาวอย่างแน่นอน
ทว่าเวลาผ่านไป 2 ปี หลังสงครามที่แฟลนเดอร์สสิ้นสุดลง อิเนสที่เฝ้าสวดภาวนาต่อหน้าไม้กางเขนรอคอยให้คนรักของตนกลับมา ก็ไม่พบแม้แต่เงาของดิเอโก จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้คนในเมืองเห็นกลุ่มทหารกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาในประตูแคมบรอน (Puerta del Cambrón) ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง อิเนสที่ได้ข่าวก็รีบวิ่งไปที่ประตูนั้น ก่อนจะพบว่า ในกลุ่มทหารมีคนรักของเธอกำลังขี่ม้าเข้ามาอย่างสง่างาม เธอรีบวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปหาเขา แต่ชายหนุ่มกลับแสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเธอและรีบจากไป
อิเนสจึงทำทุกวิถีทางเพื่อขอคำอธิบายถึงเหตุการณ์นี้จากเขาให้ได้ จนเธอพบว่า ตอนนี้ดิเอโกไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว เนื่องจาก กษัตริย์แต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินจากผลงานในสงคราม ทำให้ฝ่ายชายมองว่าเธอไม่คู่ควรจะเป็นภรรยาเขาอีกต่อไป
หญิงสาวที่ถูกปฏิเสธรัก จึงได้นำเรื่องราวไปฟ้องต่อ ‘ดอน เปโดร ลูอิซ เด อลาร์กอน’ (Don Pedro Ruiz de Alarcon) ผู้ว่าการเมืองโตเลโดในสมัยนั้น ซึ่งดอน เปโดรก็ได้ทำการพิพากษาคดีนี้ทันที โดยฝ่ายหญิงกล่าวฟ้องว่า ดิโอโกไม่รักษาคำสัญญาที่ให้ไว้ ในขณะที่ฝ่ายชายบอกว่าเขาไม่เคยเอ่ยคําสัญญาใดๆ และคำกล่าวของหญิงสาวก็ไม่มีน้ำหนักมากพอ เนื่องจากไม่มีพยาน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ว่าการฯ เปโดรเอนเอียงไปทางฝั่งดิเอโก
แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวคำตัดสิน อิเนสก็ร้องตะโกนออกมาว่า “แท้จริงแล้วมีพยานอยู่คนหนึ่ง นั่นคือพระคริสต์ในวิหาร” ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคำกล่าวนี้ของเธอจะทำให้คนมองเป็นเรื่องตลกขบขัน ทว่าในสเปนที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก ต่างเชื่อคำกล่าวของเธอและอยากพิสูจน์ เปโดรและบรรดาผู้อยากรู้อยากเห็นทั้งหลายก็เลยเดินทางไปยังมหาวิหารนั้นทันที ก่อนที่เขาจะจับทั้งคู่ให้นั่งคุกเข่าตรงหน้าไม้กางเขน แล้วตนเองก็ชูคัมภีร์ไบเบิลขึ้นเหนือศีรษะ แล้วอธิษฐานว่า
“ข้าแต่พระเยซูคริสต์ผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์สำแดงเถิดว่า สองบุคคลนี้ได้ปฏิญาณคำสัตย์ว่าจะสมรสกันต่อหน้าพระองค์หรือไม่”
สิ้นเสียงนั้น ผู้คนในวิหารก็เงียบลง พร้อมเฝ้ารอสัญญาณบางอย่างจากพระเจ้า ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากรูปสลักพระเยซูบนไม้กางเขนว่า
“ใช่ เราเป็นพยาน”
ก่อนที่แขนขวาของรูปสลักนั้นจะเลื่อนลงมาวางอยู่บนพระคัมภีร์ที่เปโดรชูขึ้น ดิเอโกและอิเนสที่เห็นเหตุการณ์อัศจรรย์ตรงหน้า จึงรู้สึกได้ถึงความรักอันเต็มเปี่ยมของพระคริสต์ที่เฝ้ามองการกระทำของทั้งสอง อิเนสจึงตัดสินใจบวชเป็นแม่ชี ในขณะที่ดิเอโกผู้รู้สึกผิดบาปกับการไม่รักษาสัญญาของตน ก็ตัดสินใจบวชเป็นบาทหลวง และออกไปอาศัยอยู่ในอารามที่ห่างกัน ส่วนไม้กางเขนที่เป็นรูปสลักพระเยซูเอื้อมมือลงมานั้น ปัจจุบันก็ยังคงตั้งอยู่ที่เมืองโตเลโด และได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของนักเที่ยวและคริสตชนทั่วโลก ทั้งยังได้กลายเป็นพยานแห่งรักและคำสัตย์สัญญาของชายหญิงคู่หนึ่งไปตลอดกาล
อ้างอิง