กสศ. เปิดแคมเปญ ‘เพราะทุกที่คือโรงเรียน’ ผนึกกำลังภาคีการศึกษา ช่วยเด็กหลุดระบบ ยกระดับการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นทั่วประเทศ

4 Min
19 Views
17 Jun 2025

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดตัวแคมเปญ ‘เพราะทุกที่คือโรงเรียน’ ผนึกกำลังกระทรวงศึกษาธิการ ภาคเอกชน และท้องถิ่น พลิกโฉมการศึกษาด้วยแนวทางเรียนรู้แบบยืดหยุ่น เพื่อรองรับเยาวชนที่หลุดจากระบบกว่า 8.8 แสนคน พร้อมเปิดรับความร่วมมือจาก ‘หุ้นส่วนการศึกษา’ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับเด็กไทยและเศรษฐกิจของชาติ

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 กสศ. จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญ ณ ลานกิจกรรม ชั้น G ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ โดยเชิญเครือข่ายภาครัฐ เอกชน ชุมชน และสื่อมวลชน ร่วมรู้จักและขับเคลื่อน ‘โรงเรียนในความหมายใหม่’ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบ ให้สามารถกลับมาเรียนรู้ในบริบทที่เหมาะสมกับชีวิตตนเอง

 

ภายในงานมีการแสดงเปิดโดยเยาวชนชาติพันธุ์ลาหู่ และตัวแทนเด็กที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงการเปิดตัวแคมเปญโดยหุ้นส่วนการศึกษาหลากหลาย อาทิ KFC Thailand, Sea (ประเทศไทย), บริษัท ซีเจ มอร์ จำกัด, วงหมอลำไอดอล, สำนักข่าว The Reporters และสมาคมทุเรียนใต้ ท่ามกลางความสนใจจากสื่อและประชาชนที่เข้าร่วมงานอย่างล้นหลาม

ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองประธานคณะกรรมการ Thailand Zero Dropout กล่าวว่ารัฐบาลมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมผลักดัน พ.ร.บ.การเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้เป็นจริง สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 ที่เปิดโอกาสให้การศึกษาเกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่จำกัดเฉพาะโรงเรียนในระบบ

“โรงเรียนจะไม่ใช่แค่สถานที่ที่มีรั้วอีกต่อไป แต่คือทุกที่ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้… ถ้าเด็กอยากอยู่นอกระบบ ต้องได้รับการยอมรับอย่างมีศักดิ์ศรี และหากอยากเรียนตามอัธยาศัย ก็ต้องได้รับการดูแลจากรัฐอย่างเท่าเทียม”

ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงบทบาทของแคมเปญที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงในการจัดการศึกษายืดหยุ่น และร่วมมือกับ กสศ. ในการแก้ไขปัญหาเด็กหลุดจากระบบ ด้วยการสร้างโอกาสทางการศึกษาและยกระดับคุณภาพชีวิต ผ่านแนวทางอย่างธนาคารหน่วยกิต โครงการพาน้องกลับมาเรียน และการนำการศึกษาเข้าถึงเด็ก

ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบอายุ 3-24 ปี จำนวน 880,463 คน ลดลงจากปี 2567 ที่มีราว 1.02 ล้านคน แม้ตัวเลขลดลง แต่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน

ผลสำรวจของ กสศ. พบว่าเด็กหลุดจากระบบจำนวนมากไม่มีเป้าหมายการศึกษาและอาชีพที่ชัดเจน โดย 78.23% จากกลุ่มตัวอย่าง 29,452 คน ไม่มีแผนการศึกษาต่อ และ 49.42% ต้องการเรียนเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพมากกว่าการเรียนวิชาการในระบบเดิม

แคมเปญนี้จึงถือเป็นวิสัยทัศน์ใหม่ในการแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบ ด้วยแนวทาง ‘Flexible Learning’ หรือการเรียนรู้แบบยืดหยุ่น ที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เด็กไม่จำเป็นต้องเรียนเฉพาะในโรงเรียนแบบเดิม แต่สามารถเรียนผ่านบริบทชีวิตจริง ชุมชน หรือสถานประกอบการ และเปิดโอกาสให้ทุกคนเป็นครูได้

“เราไม่ได้แค่ดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบเดิม แต่กำลังสร้างระบบใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตเด็กอย่างแท้จริง” 

ดร.ไกรยส กล่าว พร้อมย้ำว่า เป้าหมายคือให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงผู้รับความรู้

“การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นจะเป็นตาข่ายรองรับความแตกต่างของผู้เรียนเฉพาะกลุ่ม เช่น เด็กยากจน เด็กในกระบวนการยุติธรรม เด็กกำพร้า เด็กป่วย เด็กในพื้นที่ห่างไกล หรือพ่อแม่วัยรุ่น”

ดร.ปาริชาต มั่นสกุล กรรมการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท ซีเจ มอร์ จำกัด หนึ่งในหุ้นส่วนทางการศึกษา ย้ำว่าภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการหนุนกระบวนการเรียนรู้ เพื่อแก้ปัญหาเด็กหลุดระบบอย่างมีประสิทธิภาพ

“เรารับเด็กกลุ่มนี้เข้าทำงาน และเทียบวุฒิการศึกษา โดยมี KPI ว่าเด็กต้องเรียนต่อ และทำงานอย่างมีความสุขในสิ่งที่เขาสนใจ” ดร.ปาริชาต กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือ

ภายในงานยังมีการจัดแสดง ‘ห้องเรียนทางเลือก’ ที่ร่วมออกแบบโดย กสศ. และภาคีเครือข่าย เช่น

  • หมอลำศึกษา นิวเจน: เรียนรู้ควบคู่ความสนุก

  • Learn to Earn: Earn to Learn: การศึกษาเท่ากับปากท้อง

  • ยกให้เลยทั้งชุมชน: เปลี่ยนชุมชนเป็นโรงเรียนของเด็กนอกระบบ

  • ChickLab ฟาร์มไก่: เรียนรู้ผ่านการเลี้ยงและจำหน่ายไก่

  • หนองสนิท BARBER: ปั้นช่างตัดผมประจำหมู่บ้าน

  • โรงเรียนนอกกรอบ KFC: ร้านอาหารเป็นแหล่งเรียนรู้

  • เจริญกาแฟ: ฝึกอาชีพร้านกาแฟให้ลูกแรงงานไร่ส้ม

  • Mobile Media Lab: ห้องเรียนสื่อชายแดน

  • ห้องเรียนทุ่งใหญ่ 1.3 ล้านไร่: อิสรภาพแห่งการเรียนรู้

ดร.ไกรยส ชี้ว่า แนวทางเหล่านี้เกิดจากการเข้าใจปัญหาเชิงลึก เด็กบางคนต้องออกจากโรงเรียนเพื่อทำงานเลี้ยงครอบครัว หรือดูแลผู้ป่วย และบางคนตั้งคำถามถึงเป้าหมายการเรียนที่ไม่ตอบโจทย์ความฝันและความเป็นจริงในชีวิต

ความร่วมมือจาก ‘หุ้นส่วนการศึกษา’ คือหัวใจสำคัญในการขยายพื้นที่เรียนรู้ให้ครอบคลุมเด็กทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กพิการ เด็กในกระบวนการยุติธรรม เด็กห่างไกล หรือเด็กที่มีปัญหาสุขภาพ

“เด็กไม่ใช่ปัญหา เด็กคือศักยภาพของประเทศ หากยุติภาวะหลุดจากระบบได้ GDP ประเทศจะโตเพิ่มขึ้นอีก 1.7% จากรายได้ตลอดชีวิตของเด็กเหล่านี้” ดร.ไกรยส กล่าวอย่างมั่นใจ

ในโอกาสนี้ กสศ. เสนอ 3 ตาข่ายการเรียนรู้หลักเพื่อรองรับเด็กหลุดระบบ ได้แก่

  1. โรงเรียนยืดหยุ่น เช่น ‘1 โรงเรียน 3 รูปแบบ’

  2. การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยผ่านกรมส่งเสริมการเรียนรู้

  3. ศูนย์การเรียนจากองค์กรทางสังคม เช่น มูลนิธิ สมาคม หรือกลุ่มอาชีพ ที่เปิดให้ทุกคนเป็นครูได้

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือเชิงรุก เช่น กลไกตำบล โรงเรียนเคลื่อนที่ และธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) ที่ช่วยเทียบโอนการเรียนรู้ในทุกรูปแบบและเชื่อมโยงกับระบบหลักได้

ทั้งนี้ ดร.ไกรยส ระบุว่า นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ยังไม่ครอบคลุมศูนย์การเรียนโดยองค์กรสังคม ซึ่งไม่ได้รับงบรายหัวหรือสิทธิพื้นฐาน เช่น อาหาร นม วัคซีน หรือการตรวจสุขภาพ จึงเสนอให้รัฐสนับสนุนเท่าเทียมกับโรงเรียนในระบบ พร้อมเปิดทางให้ภาคเอกชนร่วมสนับสนุนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี

“โรงเรียนของเด็กบางคนอาจไม่มีอาคาร แต่ต้องมีคุณภาพ และได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียม” ดร.ไกรยส ย้ำ

สุดท้าย ผู้จัดการ กสศ. แสดงความหวังว่า ตัวอย่างความสำเร็จจากพื้นที่ต่างๆ จะเป็นแรงบันดาลใจให้เครือข่ายหุ้นส่วนการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับเด็กที่ยังหลุดจากระบบเกือบล้านคน เพราะนี่คือเรื่องเร่งด่วนของอนาคตชาติที่กำลังหายไป

ภาคเอกชน ท้องถิ่น หรือประชาชนทั่วไป สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนารูปแบบการศึกษายืดหยุ่น หรือเป็นอาสาสมัครในโครงการ ‘โรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School’ หรือสามารถร่วมบริจาคเพื่อสนับสนุน กสศ. โดยได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี 2 เท่า สามารถติดต่อได้ที่ 

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

โทร. 02-079-5475 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)

เว็บไซต์ www.eef.or.th

อีเมล: [email protected]

LINE: กสศ.การศึกษายืดหยุ่น

Facebook: กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (EEF Thailand)