3 Min

ขอแบบไม่ขอ? รู้จัก ‘Dry Begging’ คำพูดชวนสงสัยของคนรัก ที่ทิ้งความหนักอึ้งในใจ อยากได้อะไร แต่ไม่บอกกันตรงๆ

3 Min
6 Views
24 Jun 2025

“มันคงจะดีนะ ถ้า…”
“ลองดูแฟนคนอื่นสิ เขายัง…”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันทำเองก็ได้”

เมื่อคุณได้ยินประโยคเริ่มต้นในลักษณะนี้จากคนรัก คุณอาจรู้ได้ทันทีว่าความปั่นป่วนมาเยือนตัวคุณเองแล้ว เพราะประโยคเหล่านี้อาจไม่ใช่ประโยคบอกเล่าธรรมดา แต่นี่อาจเป็นประโยคขอร้องให้คุณตอบสนองต่อความปรารถนาของคนรักของคุณ โดยที่ประโยคขอร้องเหล่านี้ ไม่มีคำอย่าง ‘ขอให้’,‘ช่วย’,‘อยาก’ สักคำ

การสื่อสารที่ไม่แสดงความจำนงอย่างตรงไปตรงมาเหล่านี้ มีชื่อเรียกว่า ‘Dry Begging’ ซึ่งเป็นวิธีการที่ โทริ-ลิน มิลส์ (Tori-Lyn Mills) นักบำบัดชาวอเมริกา ระบุว่า “เป็นวิธีที่สามารถนำอารมณ์และความเห็นใจของอีกฝ่ายมาใช้เป็นเครื่องมือกดดัน หรือโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นในสถานการณ์นั้นได้”

โดยเฉพาะการใช้บทบาทของการเป็นแฟนหรือคนรักในการกดดันอีกฝ่ายให้รู้สึกว่า “ในฐานะแฟน คุณก็ควรจะทำสิ่งนี้ให้ฉันนะ” ทั้งที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ

ตัวอย่างเช่น ในความสัมพันธ์แบบคู่รัก ถ้าคนหนึ่งอยากมีเซ็กซ์ แต่อีกคนไม่อยาก แทนที่จะพูดตรงๆ ว่ารู้สึกอย่างไร คนที่ใช้วิธี Dry Begging อาจพูดอ้อมๆ ว่า “คู่รักส่วนใหญ่เขาน่าจะดีใจนะ ที่คู่ของเขายังอยากมีอะไรด้วยตลอดเวลา แถมยังรู้สึกดึงดูดอยู่เสมอ”

นอกจากแสดงการร้องขออย่างไม่ตรงไปตรงมาและแฝงนัยบางอย่างโดยการเทียบกับคนอื่น อาการหงุดหงิดหรือผิดหวังอย่างไม่ทราบสาเหตุหลังแสดงความเห็นเหล่านั้น หรือการเลี่ยงที่จะพูดตรงๆ ต่อให้คุณถามตรงๆ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าคนรักของคุณกำลังใช้วิธีแบบ ‘Dry Begging’

คุณอาจยิ่งสงสัยเข้าไปอีกว่า “แล้วทำไมไม่พูดกันตรงๆ ล่ะ” มิลส์อธิบายว่าการใช้วิธี Dry Begging อาจเป็นเพราะผู้กล่าวรู้สึกไม่มั่นใจและไม่อาจยอมรับคำปฏิเสธว่า ‘ไม่’ แบบตรงๆ ได้ หรืออาจกำลังกังวลว่าอาจเป็นการขอที่บ่อยครั้งเกินไปหรือไม่ หากจะร้องขอตรงๆ

หรือบางกรณี อาจเชื่อมโยงกับภาวะหลงตัวเอง (Narcissism) มิลส์ระบุว่า “คนที่มีบุคลิกหลงตัวเองมักรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์จะได้ทุกอย่างที่ต้องการ พวกเขาอาจจะเริ่มด้วยการเปรยหรือใบ้ แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ต้องการนั้นอาจแฝงไว้ด้วย ‘คำสั่งซ่อนเร้น’ อยู่ข้างใน”

แอเรียล เซตนาร์ (Aerial Cetnar) นักบำบัดและเจ้าของ Boulder Therapy and Wellness ในสหรัฐอเมริการะบุเช่นเดียวกันว่า “คนหลงตัวเองมักถูกมองว่าเป็นคนชอบควบคุมหรือเล่นเกมจิตใจ ดังนั้นพฤติกรรมแบบ Dry Begging กับบุคลิกแบบนี้จึงมักจะไปด้วยกัน”

แต่แน่นอนว่าฝั่งที่ได้ยินประโยคเหล่านี้ก็คงไม่สบายใจอย่างแน่นอน หากต้องเจออะไรแบบนี้บ่อยๆ โดยเซตนาร์ระบุว่าถ้ามีพฤติกรรมแบบนี้ซ้ำๆ เป็นประจำ นั่นคือ ‘สัญญาณอันตราย’ ว่าอาจมีการบงการหรือชักใยเกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้าคู่ของคุณยอมทำบางอย่างที่ไม่อยากทำ ทั้งที่ไม่เคยได้รับการพูดขอแบบตรงๆ

เนฮา คาดาบัม (Neha Cadabam) นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ชาวอินเดียระบุถึงผลเสียของการใช้ Dry Begging ต่อความสัมพันธ์ว่า “พฤติกรรมแบบ Dry Begging อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความหงุดหงิด และความไม่พอใจสะสมในความสัมพันธ์ เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ พฤติกรรมนี้สามารถบั่นทอนความสัมพันธ์และความไว้ใจในระยะยาว

“เพราะฝ่ายหนึ่งอาจรู้สึกว่า โดนควบคุมหรือโดนบีบคั้นทางอารมณ์ ส่วนอีกฝ่ายอาจรู้สึกว่าไม่มีใครรับฟังหรือไม่ได้รับการสนับสนุน”

คาดาบัมกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ลักษณะนี้สามารถนำไปสู่การพังทลายในที่สุด”

ทั้งนี้หากคู่รักมองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาและส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ อาจต้องอาศัยแรงของทั้งสองฝ่ายในการจับมือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

เช่นฝั่งที่เป็นผู้แสดงพฤติกรรม Dry Begging คุณอาจจะลองพูดอย่างตรงไปตรงมา โดยถามตัวเองก่อนจะพูดอะไรอ้อมๆ ออกไปว่า “เราจะสามารถเริ่มสื่อสารตรงๆ ได้อย่างไร” หรือ “จริงๆ แล้วตอนนี้เราต้องการอะไร” เพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด

ส่วนฝั่งที่อยู่กับคนที่มีพฤติกรรม Dry Begging อาจต้องใช้การสังเกตและยอมรับว่าคนรักหรือแฟนของเรามีพฤติกรรมนี้ แล้วจึงถามคำถามกระตุ้นกลับไปว่า “ต้องการอะไรหรือเปล่า? ดูเหมือนเธอกำลังต้องการอะไรบางอย่างอยู่นะ”

เพราะท้ายที่สุดแล้ว วัตถุประสงค์ของการสื่อสารอยู่ที่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่การมีความสัมพันธ์แบบโรแมนติกต้องการอยู่ไม่น้อย หากความสัมพันธ์เต็มไปด้วยความสงสัยและต้องเดาใจกันจนหัวหมุนอยู่เป็นอาจิณ ความสัมพันธ์ก็มิอาจดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติสุขเป็นแน่แท้

อ้างอิง: