ดราม่าทรงผมนักเรียน วนกลับมาทุกครั้งที่เปิดเทอม เมื่อบางโรงเรียนยังยึดกฎสมัยจอมพลถนอม
เมื่อโรงเรียนกำลังจะกลับมาเปิดเต็มรูปแบบอีกครั้ง หลังหยุดไปนานด้วยวิกฤตการณ์โควิด-19 ประเด็น ‘ทรงผมและเครื่องแต่งกาย’ ทั้งนักเรียนวัยประถมและมัธยมก็กลับมาฉายซ้ำ ดราม่านักเรียน–ครู–โรงเรียน มีข้อถกเถียงโต้แย้งกันเกิดขึ้นแทบทุกภาคของประเทศ
ที่พัทลุงครูโรงเรียนแห่งหนึ่งออกประกาศผ่านทางเฟซบุ๊คของโรงเรียนให้นักเรียนตัดผมสั้นตามกฎข้อบังคับเดิมของกระทรวงศึกษาธิการที่ยึดถือกันมานานหลายทศวรรษ
ที่นครศรีธรรมราช ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งบังคับให้นักเรียนยึดกฎกระทรวงเดิม โดยให้เหตุผลว่า “ทำตามไม่ได้ก็ให้ย้ายออกไป” แน่นอนว่า…ดราม่าสิ
นี่แค่เพียงจุดยืนของโรงเรียนต่อกฎระเบียบทรงผมก่อนเปิดเทอมเชื่อว่าหากถึงวันเปิดเทอมจริงๆช่วงกลางเดือนนี้ภาพคุณครูใช้กรรไกรจับนักเรียนเรียงแถวหั่นผมยาวก็อาจย้อนกลับมาอีกรอบเหมือนที่เกิดขึ้นทุกๆปี
ขณะที่อีกด้าน ภาพของนักเรียนชายหญิงใบหน้ายิ้มแป้น พร้อมข้อความพาดหัวข่าวว่า ‘สุดปัง! มัธยมวัดธาตุทอง ให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตามความเหมาะสม ให้เข้ากับหน้าตา’ ก็ว่อนไปทั่วโลกโซเชียลเมื่อเพจเฟซบุ๊คทางการของโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองประกาศให้นักเรียนไว้ทรงผมได้อย่างเสรีเพียงแต่ต้องจัดทรงให้เรียบร้อย
แต่ก็มีคำถามจากชาวหัวอนุรักษนิยมที่เข้าไปสอบถามว่า “ความเหมาะสมของใคร?” ทางผู้ดูแลเพจของโรงเรียนจึงมาตอบว่า “ความเหมาะสมของนักเรียนที่เขาได้เลือกทรงผมให้เข้ากับหน้าตาตนเองค่ะ” จนได้รับเสียงปรบมือทิพย์ในโซเชียลทันที
โลกที่แสนจะย้อนแย้งนี้สร้างความสับสนให้กับสังคมไทยอีกว่าตกลงเรื่องนี้ที่ถูกต้องคืออะไรฝ่ายไหนใครเกรียนครูทำไม่ถูกต้องหรือนักเรียนบ้าเสรีภาพไม่ยึดกติกา
เรื่องนี้ต้องย้อนให้ฟังว่า กฎระเบียบว่าด้วยทรงผมของนักเรียนก่อนหน้านี้ มี 2 ฉบับที่เคยบังคับใช้
- กฎกระทรวง (ศึกษาธิการ) ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2515) ที่ออกตามความในคำสั่งคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2515 ซึ่งกำหนดให้นักเรียนชายต้องตัดผมเกรียนติดหนังศีรษะ ส่วนนักเรียนหญิงต้องตัดผมสั้นเสมอติ่งหูของตนเอง มีข้อความต่อท้ายว่า หากทางโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้น ก็ต้องให้รวบผมให้เรียบร้อย (แน่นอนว่า ข้อความนี้ไม่มีใครสนใจ)
- ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงบางส่วน จึงเป็นกฎกระทรวง (ศึกษาธิการ) ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ยกเลิกข้อกำหนดที่ว่าให้นักเรียนชายไว้ผมข้างหน้าและกลางศีรษะยาวไม่เกิน 5 เซนติเมตร และชายผมรอบศีรษะตัดเกรียนชิดผิวหนัง กำหนดแต่เพียงว่าห้ามนักเรียนชายไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผม แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องทรงผมของนักเรียนหญิง
อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวง (ศึกษาธิการ) ฉบับที่ 1 ที่ระบุว่าต้องเกรียนติดหนังศีรษะและสั้นเสมอติ่งหูเป็นกฎที่โรงเรียนและครูทั้งประเทศยึดถือมากกว่า
ต่อมาในปี 2546 มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จึงยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 แต่กฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ดังกล่าว ยังคงใช้บังคับต่อไป
ที่ผ่านมาจึงมีการต่อสู้เพื่อ ‘ปลดแอก’ ทรงผมนักเรียนมาอย่างต่อเนื่อง และปี 2556 สมัย ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ เป็นนายกรัฐมนตรี และ ‘พงศ์เทพ เทพกาญจนา’ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีการออกหนังสือเวียนเพื่อเป็นการแจ้งและซักซ้อมความเข้าใจในเรื่องทรงผมของนักเรียน เพื่อให้โรงเรียนต่างๆ ปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน กล่าวคือ ให้ยึดกฎกระทรวง (ศึกษาธิการ) ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ที่ให้นักเรียนชายสามารถไว้ผมรองทรงได้ ไม่ต้องผมเกรียนเสมอไป และการไว้ผมของนักเรียนหญิงให้เป็นไปตามระเบียบของแต่ละโรงเรียนกำหนด แต่ให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ทันได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ก็ถูก คสช. ยึดอำนาจไปเสียก่อน
หลังรัฐประหาร ในปี 2557 และประกาศนโยบายค่านิยม 12 ประการให้นักเรียนท่องจำ ซึ่งถูกใจบรรดาคุณครูรุ่นเก่าจำนวนมาก และพัฒนาการของสื่อโซเชียลทำให้ภาพของการจับนักเรียนกล้อนผมโผล่ออกมาทุกๆ เทอม สร้างแรงต่อต้านจากนักเรียนอยู่เป็นระยะ เกิด ‘กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท’ ออกมาต่อสู้ในเรื่องนี้ และจัดนิทรรศการเชิงสัญลักษณ์ ‘การศึกษาฆ่าฉัน’ ที่บริเวณลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
หลังเลือกตั้ง 2562 จึงก่อเกิดกลุ่ม ‘นักเรียนเลว’ ที่เคลื่อนไหวเพื่อปลดแอกอำนาจนิยมในรั้วโรงเรียน มีการรวมกลุ่มไปพบและกดดันให้ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ในขณะนั้น) ให้แก้ปัญหา จนกระทั่งรัฐมนตรี ศธ. ต้องรับฟังและออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ใหม่ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความชัดเจน
สาระสำคัญคือข้อ 4 ที่ระบุว่า นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้านข้าง ด้านหลังต้องยาวไม่เลยตีนผม ด้านหน้าและกลางศีรษะให้เป็นไปตามความเหมาะสมและมีความเรียบร้อย ส่วนนักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสมและรวบให้เรียบร้อย แต่ต้องไม่ดัดผม ย้อมสีผม หรือไว้หนวดเครา
คำถามคือ ในเมื่อกระทรวงฯ มีระเบียบใหม่ชัดเจนขนาดนี้ แต่ทำไมหลายโรงเรียนยังยึดกฎสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ยอมปรับตัวและเคารพกติกาปัจจุบัน ทั้งที่ข้ออ้างเรื่องผมยาวทำให้เรียนไม่สะดวก รากผมดูดสารอาหารทำให้ไม่ฉลาด ก็ไม่จริง งานวิจัยสมัยใหม่ก็หักล้างไปหมดแล้ว เหลือข้อเดียวคือ ไม่เรียบร้อยในสายตาครูนั่นเอง
ฉะนั้นที่ดราม่ากันอยู่นี่ ก็คงมองออกแล้วว่าใครที่เป็นฝ่ายเกรียน
อ้างอิง
- นักเรียนเลว: ณัฏฐพลรับมอบ “นกหวีด” หลังจบดีเบตปมคุกคามนักเรียน. https://bbc.in/3Mcga5s
- Matichon. ‘สุภัทร’ ย้ำ ศธ.อนุญาตนักเรียนไว้ผมยาวได้ ยึดหลักบุคลิกภาพที่ดี การมีส่วนร่วม. https://bit.ly/3PjEbJx
- 101. ระเบียบใหม่เรื่องทรงผมนักเรียนได้เรื่องจริงหรือ? https://bit.ly/3llzzFj
- OBEC. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563. https://bit.ly/37GjYgc