5 Min

เรากำลังมีหมามากกว่าเด็ก! หรือกรุงเทพฯ ควรจะเป็นมิตรกับหมามากกว่านี้?

5 Min
1489 Views
27 May 2022

ในงานวิจัยของวารสาร Frontier in Veterinary Science ฉบับเดือนธันวาคม 2021 ได้มีการประเมินจำนวนหมาในประเทศไทยว่ามีมากถึงประมาณ 12.8 ล้านตัว โดยในจำนวนนี้เป็นหมาที่มีเจ้าของถึง 11.2 ล้านตัวเลยทีเดียว

ถามว่าจำนวนเหล่านี้น่าสนใจไหม? คำตอบคือมันสื่อได้ว่าประเทศไทยมีหมาเยอะมาก เพราะตามข้อมูลทะเบียนราษฎรของปี 2021 ประเทศไทยมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 12.8 ล้านคน ซึ่งจำนวนนี้ค่อยๆ ลดลงตามสไตล์สังคมผู้สูงอายุ ในขณะเดียวกันจำนวนหมาในไทยมี 12.8 ล้านตัว จากการประเมินของทีมวิจัย อัตราการเติบโตของประชากรหมาน่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่อัตราการโตของประชากรไทยนั้นปัจจุบันอยู่ที่ประมาณถึง 0.2 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ (ครั้งสุดท้ายที่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ คือปี 2000) และลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากอัตราการเกิดของคนไทยลดลง (เรื่อยๆ มานานแล้ว)

พูดง่ายๆ ว่าสังคมไทยคือสังคมที่กำลังจะมีหมามากกว่าเด็ก และจำนวนหมาก็กำลังเพิ่มขึ้นเร็วกว่าคนไทยอย่างชัดเจนด้วย 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่หมาส่วนใหญ่ในเมืองไทยมันมากระจุกตัวกันในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือพูดอีกแง่หนึ่งคือ กรุงเทพฯ กำลังจะกลายเป็นเมืองหมา

นี่อาจจะเป็นระเบิดเวลาหรืออนาคตอันสดใสก็คงจะอยู่ที่การจัดการของรัฐ

จริงๆ ภาวะที่เราได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และจำนวนของหมาที่มากกว่าเด็กนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะช่วงปลายทศวรรษ 2010 มันเกิดขึ้นในหลายประเทศแล้วเช่นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในสังคมที่มีการจัดการที่ดี ปัญหาก็จะน้อย แต่ในสังคมไทย เราอาจต้องคุยกันเรื่องนี้อีกเยอะมากๆ เพราะในกรุงเทพฯ เรายังไม่พร้อมกับการที่สังคมจะมีหมามากมาย

ถึงวันนี้ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าขอพื้นที่ให้หมาหน่อยเพราะหลายคนก็คงโวยว่าจริงๆ กรุงเทพฯ มันก็ไม่เป็นมิตรกับคนอยู่แล้ว แต่เราอยากจะพูดถึงหมาเป็นพิเศษ เพราะสำหรับคนเลี้ยงหมาจำนวนมาก (โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่) การเลี้ยงหมาดูเหมือนจะมาแทนที่การเลี้ยงลูก และหมาไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงที่โยนอาหารให้กินแล้วก็จบ แต่มันเป็นสมาชิกครอบครัวที่เจ้าของเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี 

เอาเข้าจริงพวกอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงก็เห็นเทรนด์นี้นานแล้ว ดังจะเห็นได้ว่าสินค้ากลุ่มหนึ่งที่ยอดขายโตต่อเนื่องแบบไม่สนโควิดเลยก็คือ กลุ่มพวกอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมียม ซึ่งก็นำโดยอาหารหมาแบบพรีเมียมนั่นแหละ

ไม่ใช่แค่บริษัทผลิตอาหารหมาที่ตื่นตัว เพราะเอกชนก็ตื่นตัวกันหมด ดังเช่นยุคนี้เราจะเห็นคอนโดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้มากขึ้น จากในอดีตที่หายากเสียยิ่งกว่ายาก รวมถึงพวกห้างสรรพสินค้าที่พาหมาเข้าได้ก็ขยายตัวขึ้น ในจำนวนนั้นก็มักจะมีร้านอาหารที่พาหมาไปนั่งกินด้วยได้และคงไม่ต้องพูดถึงที่พักที่พาหมาเข้าพักได้ซึ่งทุกวันนี้มีเต็มไปหมด จนพวกเอเจนซีจองที่พักออนไลน์ต้องเพิ่มหมวด ‘Pet-Friendly’ เข้ามาบนแพลตฟอร์ม หรือพวกแอพฯ เรียกรถอย่าง Grab ก็ยังเปิด GrabPet เพื่อให้คนสามารถเรียกรถเพื่อขนส่งสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ

ดังนั้น พูดกันจริงๆเอกชนไม่น่าเป็นห่วงอะไรเลยกับสังคมอุดมสัตว์เลี้ยงที่กำลังเกิดขึ้น เพราะปรับตัวกันเร็วมาก แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือพวกภาครัฐน่ะแหละที่ไม่ได้ยอมปรับตัวกับเรื่องนี้

เอาง่ายๆ ทุกวันนี้ สวนสาธารณะในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ให้หมาเข้าไปเลย และถ้าไปค้นในเน็ตมันมีคนโวยประเด็นนี้มาตั้งแต่ปี 2013 ในเว็บ Pantip.com ซึ่งสถานการณ์ทุกวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน

นี่เป็นเรื่องพื้นฐานที่ซีเรียสเลย เพราะในหลายประเทศคนที่จะเลี้ยงหมา เขาบังคับให้ต้องพาออกไปเดินเล่นทุกวันด้วยซ้ำ เพื่อสวัสดิภาพของหมา และนี่คือวิธีคิดเรื่องสิทธิสัตว์ในทางปฏิบัติจริงๆ (ไม่ใช่แบบไทยที่ใช้ปกป้องพวกหมาข้างถนนที่ไม่รู้เป็นพิษสุนัขบ้าหรือไม่) คำถามคือ ในไทยมันจะทำแบบนี้ได้ยังไง เพราะแค่สวนสาธารณะที่ไม่ได้มีมากมาย ก็ยังห้ามไม่ให้คนเอาหมาไปเดินเล่นเลย

เอาเข้าจริงเรื่องพวกนี้ไม่ได้ยากเลย ถ้าจะมีกฎระเบียบก็ให้หมาต้องใส่สายจูงตลอดเวลาที่อยู่ในสวนสาธารณะก็ว่าไป พวกสิ่งปฏิกูลของหมา ในบรรดาคนเลี้ยงหมารุ่นใหม่ทั่วๆ ไปก็มีความรับผิดชอบพอที่จะรู้จักเก็บอยู่แล้ว หรือถ้าคิดว่าการมีหมาเข้าไปในสวนฯ จะทำให้ขยะมันมากขึ้น การเก็บค่าเข้าของหมาในเรตที่สมเหตุสมผล ก็คงไม่มีคนเลี้ยงหมาที่ไหนขัดข้องอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือตอนนี้มันห้ามเข้าอย่างสิ้นเชิงน่าจะเกือบทุกสวนสาธารณะ

และก็ไม่ใช่แค่พวกสวนสาธารณะ แต่การขนส่งมวลชนต่างๆ ใน กทม. ก็ไม่เป็นมิตรต่อหมาเช่นกัน เพราะถ้าว่ากันตามระเบียบตามตัวอักษร ขนาดหมาตัวเล็กๆ อยู่ในกระเป๋าที่มิดชิด ทุกวันนี้ก็ยังขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้เลย

ถ้าไปดูในรายละเอียดก็จะมีเรื่องพวกนี้อยู่เต็มไปหมด จะเรียกว่าเป็นการเหยียดคนเลี้ยงหมาก็ได้ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องทำแบบนี้

ถามว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยน? ก็อย่างที่บอกตอนต้น เมืองไทยกำลังเป็นสังคมที่มีหมามากกว่าเด็กดังนั้นประชากรหมามันจะเยอะขึ้น และคนที่เลี้ยงหมาก็น่าจะค่อยๆ เรียกร้องให้เมืองนี้ปฏิบัติกับคนที่เลี้ยงหมาอย่างมีความรับผิดชอบดีกว่านี้

ทั้งหมดนี้นำเรากลับมาสู่สิ่งที่ผิดเพี้ยนบ้าบอ (อันเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย) อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเอาหลักการด้านสิทธิสัตว์ไปใช้กับหมาจรจัดซึ่งจริงๆ ในต่างประเทศนั้นสิทธิจำพวกนี้แทบไม่ได้ใช้กับสัตว์พวกนี้ด้วยซ้ำ เพราะหมาจรจัดที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมันอาจเป็นพาหะของเชื้อพิษสุนัขบ้า ที่ถ้าคนติดไปแล้วเชื้อฟักตัว โอกาสตายมีถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเขาจึงมีมาตรการมาแต่โบราณว่าต้องจัดการพวกหมาจรจัดอย่างเด็ดขาด ไม่ต่างจากการกำจัดสัตว์อื่นๆ ที่เป็นพาหะโรคร้ายแรงระดับใครเป็นแล้วถึงตาย

แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเป็นการจับไปฆ่าทิ้งให้หมด เพราะต่างประเทศก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาจับมาฉีดวัคซีน ทำหมัน จับเข้าศูนย์พักพิง เพื่อให้คนมารับอุปการะ หากไม่มีคนรับอุปการะก็ค่อยทำการจบชีวิตพวกมันอย่างสงบ ไปจากโลกที่ไม่มีใครต้องการจะดูแลพวกมัน

ในไทยเองเอาจริงๆ เอกชนหลายพื้นที่ก็มีไอเดียเรื่องการจัดการแบบหมาชุมชนที่ชุมชนรับผิดชอบร่วมกัน และแบ่งระดับความเป็นมิตรของพวกมันตามสีปลอกคอ ซึ่งอะไรพวกนี้มันก็สมเหตุสมผลอยู่ เพราะสำหรับคนไม่เลี้ยงหมา (ที่ยังมีเหตุมีผล) เขาก็ไม่ได้เกลียดหมาเสียทีเดียว ประเด็นปัญหาคือหมาที่เพ่นพ่านในพื้นที่สาธารณะ เวลากัดคนมักจะไม่มีใครรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น และจริงๆ หมาพวกนี้ แม้แต่คนเลี้ยงหมาเองก็ไม่ได้ชอบ เพราะพวกหมาจรจัดที่เพ่นพ่านตามตรอกซอกซอยแถวบ้าน มันทำให้หมาที่เขาเลี้ยงไว้ในบ้านไม่สามารถออกมาเดินเล่นแถวบ้านได้อย่างสงบเช่นกัน

ดังนั้นกล่าวโดยสรุป ในทางนโยบายการให้สิทธิที่เหมาะสมกับหมาที่มีคนเลี้ยง กับการจัดระเบียบหมาจรจัดอย่างจริงจังก็ต้องมาคู่กัน เพื่อให้เมืองแห่งนี้น่าอยู่ขึ้น ทั้งสำหรับคน หมา คนเลี้ยงหมา และคนที่ไม่เลี้ยงหมา

ส่วนรัฐก็ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากยอมรับความจริงว่าหมาที่มีเจ้าของมีเยอะขึ้นจริงๆ และพวกมันก็ต้องการที่ทางและโครงสร้างการใช้ชีวิตที่เหมาะสม เพื่อจะมีชีวิตอย่างมีสวัสดิภาพในเมืองนี้เช่นเดียวกับมนุษย์อย่างเรา

‘Better City – เมืองที่ดีสำหรับทุกคนคือแคมเปญล่าสุดของ BrandThink ที่ตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวปัญหาสุดคลาสสิกของเมืองกรุง ที่เราต้องเผชิญมาหลายทศวรรษและไม่เคยแก้ไขได้สำเร็จเสียที

มาร่วมส่งเสียงของคุณ และฟังเสียงของคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ผ่านคอนเทนต์สนุกๆ สร้างสรรค์ กระตุกต่อมคิด ในรูปแบบบทความ คลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก ภาพถ่ายสารคดี รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดหนึ่งเดือนเต็มนับจากนี้

เพื่อขับเคลื่อนกรุงเทพฯ ไปสู่เมืองที่ดีสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง