Ditto: เมื่อวัยรุ่นต่างยุคสมัยเชื่อมต่อกันผ่านวิทยุ จนเกิดคำถามว่า “ถ้ารู้ว่าอนาคตแม่งโคตร sad จะเลือกซึม หรือสู้เพื่อเปลี่ยนมัน?”
Ditto (2022) ผลงานการกำกับของ ซอ อึน-ยอง (Seo Eun-Young) คือการรีเมกงานต้นฉบับ Ditto (2000) หนังฮิตที่ประสบความสำเร็จในอดีตอย่างมากของผู้กำกับ คิม จอง-ควอน (Kim Jung-Kwon)
ผู้กำกับซอตัดสินใจเคารพงานออริจินัลขึ้นหิ้งของผู้กำกับคิมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ทำให้หนังเวอร์ชั่นปี 2022 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงพล็อตไปจากตัวงานต้นฉบับมากนัก นอกเสียจากความแตกต่างของช่วงเวลาที่ขยับขึ้นมาให้ทันสมัยมากขึ้น ชื่อตัวละครที่เปลี่ยนแปลงไป และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของผู้คนและสิ่งต่างๆ ในยุคสมัยที่ไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าจะให้ลองเทียบชั้นว่า ผู้ชมน่าจะชอบเวอร์ชั่นไหนมากกว่ากัน ก็คงจะยากที่เวอร์ชั่นใหม่จะเอาชนะรายละเอียดความเศร้าที่บีบคั้นคนดูมากๆ ในเวอร์ชั่นปี 2000 ได้
Ditto เวอร์ชั่นล่าสุด เล่าเรื่องของหนุ่ม คิมยง นักศึกษามหาวิทยาลัยในปี 1999 ผู้อยู่ในช่วงเวลาที่กำลังผันเปลี่ยนเข้าสู่ยุค 2000 โมงยามที่วัยรุ่นอย่างคิมยง ต่อต้านและด่าทอคนที่มาถือป้ายตะโกนว่าโลกใกล้จะแตกแล้วนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นจริง
ตัวละครวัยรุ่นในปี 1999 กำลังสับสนวุ่นวายกับสภาพสังคมที่พลิกผันหลังการเกิดขึ้นของวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง แม้แต่ผู้หญิงชั้นปี 1 ที่ยงหลงรักอย่าง ซอ ฮัน-ซอล ซึ่งเขาจีบจนได้คบเป็นแฟน ยังมีภูมิหลังเรื่องบริษัทของครอบครัวล้มละลาย หนังพยายามทำให้คนดูเห็นว่า สภาพสังคมเกาหลีในยุคนั้นปั่นป่วนพอๆ กับความรู้สึกและสภาพชีวิตของตัวละครเอกแต่ละคน เช่นเพื่อนสนิทของพระเอกอย่าง คิม อึน-ซอง ยังบาดเจ็บที่ข้อเท้าจนยืนทรงตัวได้ยาก หรือแม้แต่การที่พระเอกกังวลเรื่องการหางานทำหลังเรียนจบ องค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินในเกาหลีไม่ได้เป็นเรื่องง่าย
นี่คงจะเป็นหนังรักดราม่าธรรมดาๆ แต่ Ditto พาตัวเองข้ามพรมแดนไปสู่ความแฟนตาซี เมื่อยงยืมวิทยุของอึนซองมาเล่น และในคืนวันจันทรุปราคา วิทยุนี้กลับกลายเป็นสื่อกลางการสื่อสารระหว่างเขากับ คิม มู-นี นักศึกษาสาวมหาวิทยาลัยเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ในปี 2021 ซึ่งนำวิทยุของพ่อที่ชอบสะสมของเก่ามาลองเปิดเล่นจนคลื่นจูนมาเจอยง จากนั้นทั้งคู่จึงได้เรียนรู้ชีวิตต่างยุคสมัยที่ห่างกันถึง 20 กว่าปี และต่างก็รับบทเป็นที่ปรึกษาให้กันและกันผ่านวิทยุวันแล้ววันเล่า มิหนำซ้ำมูนียังนำเรื่องราวของยงไปทำเป็นรายงานส่งอาจารย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
Spoiler Alert! ตั้งแต่จุดนี้เผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง
ทว่าจุดพลิกผันของการดำเนินเรื่อง คือยงได้รู้ว่ามูนีคือลูกสาวของฮันซอล-แฟนสาว และอึนซองเพื่อนสนิทที่ให้เขายืมวิทยุมาเล่น หลังจากนั้นยงก็สติแตก เพราะจิตใจถูกสั่นคลอนจากประเด็นความรักและความไว้ใจที่เขามีต่อฮันซอลและอึนซอง นำมาสู่การตัดสินใจหายตัวไปจากชีวิตของทุกคนในช่วงเวลาต่อมา ในขณะที่มูนีก็รู้สึกผิดมาก เพราะเธอคิดว่าตัวเองอาจเป็นตัวต้นเหตุของการที่ทำให้ยงและแม่ของตัวเองไม่ได้ลงเอยรักกัน และหันมารักพ่อของเธอในเวลาต่อมาแทน
ความพิเศษของ Ditto ที่แตกต่างไปจากหนังที่ตัวละครจากอีกฟากเวลาโคจรมาพบกันเรื่องอื่นๆ คือการที่ตัวละครได้รับรู้ชะตากรรมในอนาคตของตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง ที่สำคัญอนาคตนั้นยังเป็น Sad Story ที่น่าผิดหวังในตอนท้ายที่สุด แต่ยงกลับยอมรับความเป็นจริงนั้นอย่างผู้จำยอมที่ซื่อสัตย์แม้ตัวเองต้องเจ็บปวดรวดร้าว เสมือน motto ที่ยงและมูนีมักตอกย้ำกับคนดูอยู่บ่อยครั้งว่า คนเราต้องซื่อสัตย์และกล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นๆ ตัวละครอาจพยายามฝืนลิขิตชีวิตตัวเอง อย่างเช่น หนังเกาหลีเรื่อง The Call (2020) หรือซีรีส์เกาหลีเรื่อง The Signal (2016) ที่ตัวละครเอกตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่ผิดพลาด ล้มเหลว และเลวร้าย เพื่อกระเสือกกระสนพลิกฟื้นแก้ไขทุกวิถีทางให้ปัจจุบันหรืออนาคตสดใสงดงามได้ในที่สุด
แม้จะมีบาดแผลของหนังที่ทำให้เราตัดสินใจเชื่อไม่ลง เช่น จันทรุปราคาที่บันดาลให้เกิดการสื่อสารข้ามยุคสมัยราวกับปาฏิหาริย์ หรือการที่มูนีนำเรื่องของคนในปี 1999 ไปทำรายงานพรีเซนต์ต่อคนในยุค 2021 ซึ่งเธอบอกกับทุกคนว่าได้ข้อมูลมาจากการพูดคุยกันผ่านการพูดคุยกับนักศึกษาในอดีตผ่านวิทยุสื่อสาร โดยที่คนฟังทั้งหลายไม่นึกตั้งคำถามถึงที่มาที่ไปที่เป็นข้อเท็จจริง จนกระทั่งคนดูอย่างเรานึกสงสัยถึงความสมจริง แต่ความกล้าหาญที่จะสร้างพล็อตเรื่องโรแมนติกสุดขั้ว ด้วยการหักอกตัวละครเอกให้ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตัวเอง และฝืนยินดีกับความรักของคนอื่นโดยปราศจากข้อสงสัย ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และครบสูตรของเรื่องรักหวานแหววแฟนตาซีที่อาจไม่ต้องมีความสมจริงอะไรยืนเป็นพื้นฐานของเรื่องอีกต่อไป
Ditto กำลังฉายอยู่ที่ House Samyan เช็กรอบฉายได้ที่นี่เลย https://www.housesamyan.com/site/Movie/detail/952