ท่ามกลางกระแส ‘กลับคืนสู่ชีวิตปกติ’ จริงๆ โลกควรจะจารึกเดนมาร์กเอาไว้ เพราะชาตินอร์ดิกแห่งนี้เป็นชาติแรกในยุโรปที่ยุติมาตรการโควิดใดๆ ในประเทศจนหมด พร้อมคืนชีวิตปกติให้ประชาชนมาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2022 (จริงๆ จะบอกว่าเป็น ‘ชาติแรกในโลก’ ที่ ‘ยุติ’ มาตรการโควิดก็เกือบจะได้ แต่ประเด็นคือถ้าไม่นับเดนมาร์ก ก็จะมีประเทศอย่างนิคารากัวที่ ‘ไม่เคยมี’ มาตรการโควิดใดๆ มาโดยตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นก็ต้องให้เครดิตชาติที่ไม่เคยมีมาตรการด้วย)
นั่นหมายความว่า เดนมาร์กจะไม่มีการใส่หน้ากากอนามัยไม่ว่าจะกลางแจ้งหรือในร่ม ไม่มีการจำกัดการรวมตัวของผู้คน ไม่มีการบังคับตรวจ ATK ก่อนเข้าร่วมงานอีเวนต์ต่างๆ ชีวิตปกติกลับมาอย่างสมบูรณ์
และถ้าจะถามว่าเหลือมาตรการอะไร ก็อาจจะเหลือแค่มาตรการขาเข้าประเทศ ที่ขอหลักฐานคนเข้าประเทศว่าฉีดวัคซีนครบแล้วหรือยัง เท่านั้นก็เข้าประเทศเขาได้ปกติ ผลตรวจอะไรก็ไม่ต้องมีแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนหรือฉีดไม่ครบก็ต้องกักตัวกันไป
คาดว่านี่คือ ‘มาตรฐานโลก’ ในช่วงกลางปี 2022 ที่ทุกชาติก็เรียกว่าค่อยๆ ทำตามเดนมาร์กกัน โดยเริ่มจากกลุ่มชาติสแกนดิเนเวีย และชาติอื่นๆ ในยุโรปก็ทำตาม
แต่เดนมาร์กก็อาจกลัวว่าโลกนี้จะลืม ‘ความกล้าหาญ’ ของเดนมาร์ก ที่ยุติมาตรการโควิด และคืนชีวิตปกติให้คนในประเทศกันเป็นชาติแรกๆ ล่าสุดก็เลยประกาศว่า การเรียกคนมาฉีดวัคซีน จะทำในวันที่ 15 พฤษภาคม 2022 เป็นวันสุดท้าย และจะเป็นชาติแรกๆ ที่ ‘หยุด’ ฉีดวัคซีน
ถามว่าเดนมาร์กเขาฉีดวัคซีน ‘ครบ’ ไหม คำตอบคือ ณ จุดที่เขาประกาศพักฉีดวัคซีน ประชากรเขาฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มไป 82 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเขาคิดว่าพอแล้ว และพวกประชากรกลุ่มเสี่ยงก็ฉีดเข็มบูสเตอร์ไปครบแล้ว และจริงๆ กลุ่มที่คิดว่าเสี่ยงเป็นพิเศษก็ได้สิทธิ์ฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ไปตั้งแต่เดือนมกราคม 2022
แน่นอน เดนมาร์กก็ไม่ได้บอกว่าการหยุดนี้จะ ‘ถาวร’ เพราะการฉีดวัคซีนนั้นน่าจะกลับมาอีกรอบในช่วง ‘ก่อนหน้าหนาว’ ที่โควิดมีแนวโน้มจะระบาดหนักๆ อีกครั้ง แต่การเว้นฉีดวัคซีนและฉีดตามฤดูกาลที่ว่านี้ก็คือการเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการโควิดให้เป็นแบบ ‘โรคประจำถิ่น’ จริงๆ
พูดง่ายๆ ก็คือฉีดมันเฉพาะฤดู และไม่ได้ฉีดในทุกคน ฉีดเฉพาะคนที่เสี่ยง ซึ่งนี่ไม่ได้ต่างจากมาตรการจัดการไข้หวัดใหญ่ในหลายๆ ประเทศ
บางคนอาจถามว่าแล้วทำไมเขาทำแบบนี้? คำตอบก็คือทำไมเขาจะไม่ทำ? เพราะสุดท้าย การทำศูนย์ฉีดวัคซีน มันกินทรัพยากรและบุคลากรด้านสาธารณสุขอยู่แล้ว ซึ่งเราอยู่กับภาวะนี้มานาน จนลืมไปว่าคนที่ควรจะไปดูแลผู้ป่วยปกตินั้นกลับต้องมาทำงานฉีดวัคซีนแทน
ถ้าใครพอรู้ระบบสาธารณสุขของเดนมาร์ก ก็คือมาตรฐานยุโรปปกติ ระบบทั้งหมดเป็นระบบโรงพยาบาลรัฐ ซึ่ง ‘รักษาฟรี’ ก็จริง แต่ทั่วๆ ไปคือถ้าคุณจะหาหมอก็ต้องนัดล่วงหน้าก่อน ไม่งั้นจะไปโรงพยาบาลเก้อแน่ๆ (เว้นแต่กรณีฉุกเฉิน แบบนั้นก็ไปห้องฉุกเฉิน) ไม่ใช่เอะอะ คุณรู้สึกมีไข้ ปวดหัว ปวดท้องแล้วจะไปหาหมอได้เลย แบบที่ชนชั้นกลางไทยคุ้นกับ ‘บริการ’ แบบนี้ตามโรงพยาบาลเอกชน
ดังนั้นระบบโรงพยาบาลแบบนี้ ทั้งหมอและพยาบาลทำงานหนักมากอยู่แล้ว และการที่ต้องมีคนส่วนหนึ่งเจียดมาที่ศูนย์ฉีดวัคซีนก็เลยเปลืองทรัพยากร และถึงจุดหนึ่ง กิจกรรมอันสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างการฉีดวัคซีนก็ต้องหยุดลง โดยเฉพาะเมื่อมันหมดหน้าที่แล้ว การระบาดคุมอยู่แล้ว ซึ่งมันก็เป็นตามนั้น เพราะจำนวนผู้ป่วยเริ่ม ‘คาดเดาได้’ ว่าระบบสาธารณสุขนั้นเอาอยู่ และนี่ก็เป็นไปตามนิยามของ ‘โรคประจำถิ่น’ เช่นกัน และต้องกะโดยประมาณได้ว่าโรคนี้จะกินทรัพยากรของโรงพยาบาลไปสักเท่าไรในช่วงแต่ละเดือนของปี
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ก็อยากให้เห็นภาพว่า ‘จุดจบ’ ของโควิดหน้าตาเป็นเช่นไร และเราก็ต้องให้เครดิตเดนมาร์กด้วยที่เป็นชาติแรกๆ ที่บุกเบิก ‘จุดจบ’ ที่ว่านี้ให้เราเห็น
อ้างอิง
- IFLS. Denmark Becomes First Country To Suspend COVID Vaccinations. https://bit.ly/3y4I5zN
- The Telegraph. Denmark becomes first country to suspend Covid vaccinations as virus is brought under control. https://bit.ly/3KBcKHB