“การแสดงมันพิเศษ เพราะเราสามารถเป็นใครก็ได้จากบทที่ได้รับมา” คุยกับ บิ๊ก-D Gerrard จากนักดนตรีสุดแพรวพราว สู่นักแสดงมากความสามารถกับความท้าทายครั้งใหม่ใน RedLife
ในหมวกใบหนึ่ง ‘บิ๊ก-อุกฤษ วิลลีย์ บรอด ดอนกาเบรียล’ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ‘D Gerrard’ คือนักร้องนักแต่งเพลงระดับร้อยล้านวิวจากผลงานเพลงฮิตอย่าง ‘GALAXY’ และ ‘ไม่เหมือนใคร’
ทว่าในหมวกอีกใบ บิ๊กคือนักแสดงหน้าใหม่ที่แม้ว่าจะเพิ่งเล่นหนังมาเพียงเรื่องเดียว หากก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฝีไม้ลายมือทางการแสดงของเขาโดดเด่นจนน่าจับตา และแม้ว่า ‘RedLife’ จะเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองในชีวิตของนักร้องหนุ่มก็จริง หากบิ๊กก็สามารถตีบท ‘เคี้ยง’ ชายผู้หมกมุ่นอยู่กับการปล้นได้แตกกระจุย
จากนักดนตรีผู้มีฝีไม้ลายมือแพรวพราว สู่นักแสดงที่มีลูกล่อลูกชนโดดเด่นจนน่าจับตา เราอยากชวนทุกคนมาขุดลึกถึงตัวตนและความมุ่งมั่นของบิ๊ก ที่กำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางสายใหม่อย่างน่าตื่นเต้น เปี่ยมล้นไปด้วยแพสชัน และสุดแสนจะน่าติดตามนี้ไปพร้อมๆ กัน
ก่อนหน้านี้หลายคนอาจคุ้นเคยกับคุณในแง่ของนักดนตรีนักแต่งเพลง แต่หลังจาก ‘4 KINGS’ เราก็เริ่มเห็นคุณในฐานะนักแสดง คุณค้นพบความสนใจด้านการแสดงของตัวเองได้อย่างไร
จริงๆ มันเป็นแค่ความอยากเฉยๆ ครับ เหมือนความหิวน่ะครับ แล้วพอดีว่ามันมีประกาศรับนักแสดงเด้งขึ้นที่หน้าฟีดเฟซบุ๊กพอดี ตอนนั้นไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็น 4 KINGS เราก็แค่อยากแสดง เราก็เลยถ่ายรูปและเขียนชื่อส่งไปตอนนั้นเลย ไม่กี่วันเขาก็ติดต่อกลับมา
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เขาก็เรียกเราไปแคสต์ ให้เราอ่านบท ซึ่งพอได้อ่านเราก็ โห… มันหยาบกร้าน ถ่อยจัดเลย มันท้าทายดี น่าลอง เพราะทีแรกเราคิดแค่ว่าอยากแสดงอะไรก็ได้ แต่พอได้บทนี้มาเราก็เอาวะ จนพอไปแคสต์ให้ดูเขาก็ชอบ ก็เลยได้บท ‘ยาท เด็กบ้าน’ มา
แล้วพอได้มาแสดงหนังจริงๆ ยากไหม
ยากครับ เพราะตอนที่อยากแสดงมันแค่สนุก แต่พอได้รับบทมาแล้วเราต้องรับผิดชอบ ซึ่งความรับผิดชอบมันก็ลดทอนความสนุกลงไป แต่ว่าสุดท้ายแล้วความอยากเป็นนักแสดงของเราก็ชนะ หมายความว่า มันทำให้เราลืมเลือนข้ออ้างที่จะไม่ฝึกฝน หรือข้ออ้างที่จะฝืนตัวเองจากการต้องรับบทเป็นอีกคนที่ไม่ใช่เรา
ก่อนหน้านี้เราจะมีความ มันไม่ใช่กูว่ะ มันทำไม่ได้ว่ะ นึกออกไหมครับ
แต่พอเรากลับมานั่งคุยกับตัวเองว่า ถ้าไม่ทำแล้วที่เราบอกว่าอยากจะแสดงอะไรก็ได้ในตอนแรกมันก็สูญเปล่าสิ ดังนั้นเราก็ต้องทำ ต้องฝืนตัวเอง มันทำให้เราได้รู้ว่าการแสดงมันพิเศษ เพราะเราสามารถเป็นใครก็ได้จากบทที่ได้รับมา พาเราหลุดออกจากโลกปัจจุบัน เราได้หลุดออกจาก ‘D Gerrard’ หลุดออกจาก ‘อุกฤษ วิลลีย์ บรอด ดอนกาเบรียล’ ไปเป็น ‘ยาท’ ไปเป็น ‘เคี้ยง’ ไปเป็นโน่นนี่
ในแง่ของนักดนตรีบ้าง คุณคิดว่าการได้เป็นนักแสดงส่งผลอะไรต่อการเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงของคุณบ้างไหม
มันทำให้เราเห็นมุมมองอื่นมากขึ้น ได้รับรู้ว่าความคิดของแต่ละคนมันไม่เหมือนและไม่เท่ากัน เลยทำให้เราเห็นมิติที่มากขึ้น เห็นความเป็นมนุษย์มากขึ้น จนเราย้อนกลับมาคิดว่า แล้วผู้ฟังของเราจะรู้สึกกับเพลงของเรายังไง หรือเรายังมีมุมมองไหนอีกบ้างในการเขียนเพลง อย่างเมื่อก่อนเราก็จะเขียนเพลงจากมุมมองดาดๆ แต่ทุกวันนี้เราโตขึ้น มันอาจไม่ได้กว้างแล้วแต่ลึกขึ้น ซึ่งการตกผลึกอะไรเหล่านี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้กันต่อไปอีก
จาก ‘ยาท เด็กบ้าน’ มาสู่ ‘เคี้ยง’ คุณมองว่าสองบทบาทนี้มีความคล้ายคลึงหรือเชื่อมโยงกันอย่างไรบ้างไหม
แน่นอน เพราะมันเป็นสีดำเหมือนกัน เพียงแต่อยู่กันคนละโทน เรามองว่า เคี้ยงกับยาทแตกต่างกันในเรื่องสถานะ เพราะแม้ว่าภาพที่เห็นจะเป็นเด็กเหลือขอเหมือนกัน แต่ความเหลือขอมันก็มีหลายระดับอีก อย่างเคี้ยงจะมีการใช้เหลี่ยมแบบเด็กๆ ในขณะที่ยาทจะมีลูกล่อลูกชนเยอะกว่า บางทีก็แกล้งบ้า มันเลยทำให้ยาทคาดเดาได้ยากกว่า อย่างถ้าเจอกันตามถนน เรายังพอจะรับมือคนแบบเคี้ยงได้ ขณะที่คนแบบยาทเราขอไม่เจอเลยดีกว่า
คุณทำความเข้าใจตัวละครเหล่านี้อย่างไร
โชคดีว่าเรามีเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กบ้านอยู่ เลยมีโอกาสพูดคุยกัน ได้ถามว่ามันเป็นยังไง ขนาดนั้นเลยไหม ซึ่งเราก็พยายามจะทำความเข้าใจว่า ถ้าเป็นเราจะรู้สึกยังไง ความโกรธเกรี้ยวจะเป็นแบบไหน
เราถามเยอะเพราะเรารู้ว่ามันมีปัญหา แต่เราก็ไม่เชื่อว่า บุคลิกหรือพฤติกรรมของมนุษย์จะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ ซึ่งพอเราคุยไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจะเห็นแพตเทิร์นบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อคนเหล่านี้
เราก็เลยหยิบแพตเทิร์นที่ว่านี้มาตกผลึก พยายามดูว่า พื้นฐานสังคมของแต่ละคนเป็นอย่างไร ทำไมคนดีถึงกลายเป็นคนเลวได้ แล้วคนเลวจะกลับเป็นคนดีได้ยังไง ทุกอย่างมันมีความซับซ้อนในมิติของมัน
แล้วการทำความเข้าใจอะไรเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทัศนคติของคุณอย่างไรบ้าง
เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดี เพราะถ้าเราได้บทนี้มาแล้วทำได้ดี มันก็จะเป็นตัวอย่างให้ผู้คนได้เห็นว่า อย่าเป็นอย่างนี้เลย นี่คือสาเหตุที่เรามีหนัง เขามาฆ่ากันให้ดู เราจะได้ไม่ต้องมาฆ่ากันไง เขามาต่อยตีกันให้ดูแล้ว เราจะได้ไม่ต้องต่อยตีกันในโลกแห่งความจริงไง
อีกประเด็นหนึ่งที่ RedLife พูดถึงคือ ‘ความรัก’ แล้วคุณเองมีมุมมองหรือทัศนคติต่อเรื่องความรักของเคี้ยงเป็นอย่างไร
เราคิดว่าเคี้ยงพยายามตามหาอยู่ ซึ่งเขาก็เชื่อจริงๆ ว่าถ้าจุดหนึ่งที่พอมีเงินแล้วเข้าจะสบาย จะได้เจอความรักที่ตามหา เคี้ยงเลยใช้ชีวิตหาเงินไปวันๆ แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ทำมันเพราะมีเป้าหมายบางอย่างอยู่ เพียงแต่สำหรับเรา ความรักมันควรต้องบริสุทธิ์ ไม่ควรต้องไปเกี่ยวข้องกับอะไรที่ผิด ซึ่งเรามองว่า เคี้ยงไม่ต้องทำแบบนั้นเลยด้วยซ้ำเพื่อจะให้ได้ความรักมา
อะไรคือความท้าทายของการเล่นเป็นเคี้ยง
การเล่นให้สมจริงมันเป็นอะไรที่ยากมากนะ เราจะแสดงยังไงให้ไม่เหมือนกำลังแสดงและเป็นธรรมชาติที่สุด ซึ่งเคี้ยงเป็นตัวละครที่ธรรมชาติมาก คือเด็กที่คุณสามารถเจอได้ง่ายๆ ตามถนนทั่วไปเลย ซึ่งถ้าเราเล่นไม่ถึง คนดูก็จะสัมผัสได้ว่ามันไม่จริงและโดนด่าแน่
แล้วกลัวโดนด่าไหม
กลัว เรากลัวที่จะเล่นแล้วทำได้ไม่ดี กลัวว่าจะเล่นไม่เป็นธรรมชาติ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘RedLife’ คุณนึกถึงอะไร
ความสุดโต่ง เข้มข้น รู้สึกถึงการขยายตัวของความร้อน ความไม่สั่นไหวเพราะทุกสิ่งขยับอยู่ตลอดเวลา จนถึงจุดหนึ่งมันก็มากเกินกว่าที่เราจะเก็บไว้เลยต้องปล่อยออกมา มันเป็นพลังงานแบบนั้น พลังงานที่ค่อนข้างรุนแรงและเที่ยงตรง แล้วยิ่งพอมันมีคำว่า ‘life’ เข้ามา เราก็เห็นภาพชีวิตที่เหนื่อยอยู่ตลอดเวลา
เรียกได้ว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่สวมหมวกหลายใบ ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี นักแต่งเพลง หรือนักแสดง คุณมีวิธีจัดลำดับความสำคัญของหมวกเหล่านี้อย่างไรบ้าง
เราไม่ได้เป็นคนจัดลำดับอะไรเหล่านี้ แต่มองว่าเป็นเรื่องโชคชะตามากกว่า แล้วแต่ว่าโชคชะตาจะให้อะไรมา ซึ่งเราก็แค่เซิร์ฟไปกับมัน โต้ไปกับคลื่นที่ผ่านเข้ามา
แปลว่าคุณจะไม่ต่อต้าน
ไม่ครับ ไม่ต่อต้าน แต่โอบกอด เราต้องยืดหยุ่น อะไรใหม่ๆ เข้ามาเราก็แค่ทำให้เต็มที่
เคยรู้สึกโกรธโชคชะตาบ้างไหม
เคยครับ โกรธมาตลอดจนถึงจุดหนึ่งก็คิดได้ว่า ทำไมถึงต้องโกรธ โชคชะตาที่มันโหดร้ายในตอนนี้ บางทีมันอาจเป็นบทเรียนสู่อะไรดีๆ ในอนาคตก็ได้
การเป็นนักแสดงสำคัญกับคุณแค่ไหน
สำคัญครับ เพราะมันให้พื้นที่กับเรา พื้นที่สำหรับการปลดปล่อย ซึ่งมันดีนะ