รู้ไหม ทุกวันนี้ ‘ฝรั่ง’ เกินครึ่งเลือกที่จะ ‘เผา’ มากกว่า ‘ฝัง’ ร่างตัวเองแล้ว
เวลาพูดถึงวัฒนธรรมการ ‘เผาศพ’ เราอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ เพราะในไทย พิธีศพส่วนใหญ่ใช้วิธีการเผา ซึ่งต่างจากพวก ‘ฝรั่ง’ ในประเทศฝั่งตะวันตก (รวมถึงคนเชื้อสายจีน) ที่เสียชีวิตแล้วจะใช้วิธีฝังศพกันเป็นหลัก
แน่นอน อะไรพวกนี้มันทำให้เกิดนัยต่างๆ กันมากมาย ทั้งในเชิงกฎหมายที่บ้านเราไม่มี ‘Cold Case’ หรือคดีที่ไขไม่ได้ แต่สุดท้ายสามารถขุดศพขึ้นมาไขคดีอีกครั้งภายใต้เทคโนโลยีใหม่ ไปจนถึงการที่ ‘ผี’ ในความเชื่อของบ้านเรามักจะเป็นวิญญาณไม่มีร่างกายซะเยอะ ไม่ใช่ ‘ผีดิบ’ ที่เป็นตัวๆ ขึ้นมาจากหลุมแบบของฝรั่ง ซึ่งนำไปสู่จินตนาการแบบ ‘ซอมบี้ล้างโลก’ ที่ถูกเอาไปสร้างเป็นหนังและซีรีส์กันมากมาย
แต่ประเด็นที่อยากจะพูดในที่นี้ก็คือ จริงๆ แล้วในโลกตะวันตก การ ‘เผา’ ศพไม่ใช่ธรรมเนียมดั้งเดิม เพราะมันเพิ่งฮิตขึ้นสุดๆ ในยุคหลังๆ โดยประเทศกลุ่มที่เป็นคริสต์สายโปรเตสแตนท์นั้นมีอัตราการ ‘เผาศพ’ มากสุด โดยพวกประเทศอย่าง อังกฤษ สวีเดน เดนมาร์ก แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ทุกวันนี้คือคนตายราวๆ 3 ใน 4 นั้นก็ใช้วิธีเผาเกือบหมดแล้วคนที่จะฝังคือคนส่วนน้อย
แพตเทิร์นแบบนี้เราจะเห็นในรัฐที่ ‘หัวก้าวหน้า’ ของสหรัฐอเมริกาที่คนส่วนใหญ่ตายแล้วก็เผาเหมือนกัน แต่จะมีพวก ‘รัฐทางใต้’ กับ ‘รัฐกลางประเทศตอนบน’ (ที่คนอเมริกันเรียกโซนนี้ว่า ‘มิดเวสต์’) ที่เป็นฐานสำคัญของแนวคิดอนุรักษ์นิยมนี่แหละที่คนส่วนใหญ่ยังเลือกจะฝังศพอยู่ เลยทำให้คนอเมริกันเพียงราว 50 เปอร์เซ็นต์เศษๆ เท่านั้นที่จะฝังศพกันถ้าดูสถิติจากทั้งประเทศ และนอกจากนี้พวกโซนยุโรปใต้ที่เป็นฐานหลักของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แม้ว่าอัตราการเผาศพจะยังไม่ถึงครึ่งประเทศ แต่อัตราก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีๆ ‘ฝรั่ง’ ถึงหันมาใช้วิธีเผาศพกันมากขึ้น
จริงๆ คำอธิบายอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่เราอยากจะยกคำอธิบายของทางฝั่งสหรัฐอเมริกาเป็นตัวแบบพื้นฐานที่น่าจะไปอธิบายประเทศอื่นๆ ได้
ประการแรกเลย การเผาศพเป็นต้นทุนการจัดงานศพที่ถูกกว่าการจัดงานศพแบบฝังตามจารีตเดิม ซึ่งมีอุตสาหกรรมจัดงานศพ (อันเป็นธีมของซีรีส์อเมริกันที่ดังช่วงต้น 2000s อย่าง Six Feet Under) และอุตสาหกรรมพวกนี้ก็จะชาร์จเงินคนสุดๆ เพราะถือว่าคนไม่มีทางเลือก ยังไงก็ต้องจัด โดยต้นทุนการจัดงานศพก็จะต่างกันไปแต่ละรัฐ ซึ่งมันก็สตาร์ทตั้งแต่ประมาณ 2 แสนบาทถึง 5 แสนบาท
ส่วนถ้าจะเผาศพ ต้นทุนก็จะถูกๆ เลย ทั่วๆ ไปเต็มที่ไม่เกิน 6-7 หมื่นบาท และหาถูกๆ ก็อาจได้ไม่ถึง 5 หมื่นบาท ซึ่งนี่ทำให้ ‘เหตุผลทางเศรษฐกิจ’ ในการเผาศพนั้นชัดเจนมากสำหรับคนที่ไม่อยากให้การตายของตนเป็นภาระของคนที่เหลืออยู่มากมายนัก
ประการที่สอง คนเริ่มห่วงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บางคนอาจมองว่าการเผาศพทำให้โลกร้อน แต่ในอีกด้าน การจะรักษาสุสานให้มีหญ้าเขียวๆ แบบที่เห็นนี่ก็ใช้ยาฆ่าแมลงหนักๆ เช่นกัน และก็เป็นที่รู้กันว่าดินแถวสุสานนี่ ‘เป็นพิษ’ สุดๆ และการทำที่ดินให้เป็นสุสานก็ทำให้พื้นที่แถวนั้นทำประโยชน์อะไรอย่างอื่นไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ การสร้างสุสานมันเป็นการใช้พื้นที่สิ้นเปลือง และนี่เป็นจริงแม้แต่ในชาติที่มีพื้นดินกว้างใหญ่ไพศาลแบบสหรัฐอเมริกา ดังนั้นประเทศที่มีพื้นที่น้อยกว่าก็ไม่ต้องพูดถึง
ประการที่สาม คนถอยห่างจากศาสนาคริสต์ขึ้น อันนี้พูดง่ายๆ ก็คือ คนไม่ไปโบสถ์กันแล้ว ในอเมริกานี่ถือว่าหนักน้อยแล้ว เพราะในยุโรป คนไม่ไปโบสถ์กันจริงๆ เนื่องจากฝรั่งรุ่นใหม่ๆ ‘ไม่มีศาสนา’ กันมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งพอไม่เอาศาสนา ไม่ไปโบสถ์ คุณก็จะไม่มีความยึดโยงกับโบสถ์และพิธีกรรมต่างๆ และนั่นทำให้มันไม่มีความชัดเจนว่าคุณตายแล้วจะฝังศพ ศพคุณจะถูกฝังที่ไหน เพราะก็แน่นอน คุณไม่สามารถเดินดุ่มๆ ไปแล้วบอกว่าถ้าตัวเองตายไปแล้วจะฝังศพที่สุสานนี้ๆ ได้แบบดื้อๆ เพราะที่ดินแต่ละสุสานมักจะเกี่ยวพันกับพิธีกรรมของแต่ละศาสนาอยู่แล้ว
ในแง่นี้ การเลือกจะเผาศพก็เลยเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลในการกำจัดร่างตัวเองของคนที่ไม่ไปโบสถ์หรือกระทั่งไม่นับถือศาสนา อันเป็น ‘ไลฟ์สไตล์’ ของคนรุ่นใหม่ๆ
สุดท้าย แม้ว่าการเผาศพจะเป็นแนวทางที่ ‘มาแรง’ ในการจัดการศพในปัจจุบัน แต่เขาก็มี ‘ทางเลือก’ มากขึ้นในการจัดการศพ ไม่ว่าจะเป็นการฝังไปพร้อมต้นไม้ หรือกระทั่งการ ‘ตุ๋นละลาย’ ศพด้วยพลังงานสะอาด ซึ่งทั้งหมดก็เกิดจากข้อวิจารณ์ว่าการ ‘เผาศพ’ มันทำให้ ‘โลกร้อน’ นั่นเอง
อ้างอิง
Scroll.in. Why many more Americans are choosing cremation over burials. https://bit.ly/3Bxi1gS
Wikipedia. List of countries by cremation rate. https://bit.ly/3QXqTSw