3 Min

รู้ไหม ทุกวันนี้ ‘ฝรั่ง’ เกินครึ่งเลือกที่จะ ‘เผา’ มากกว่า ‘ฝัง’ ร่างตัวเองแล้ว

3 Min
2194 Views
26 Sep 2022

เวลาพูดถึงวัฒนธรรมการเผาศพเราอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ เพราะในไทย พิธีศพส่วนใหญ่ใช้วิธีการเผา ซึ่งต่างจากพวกฝรั่งในประเทศฝั่งตะวันตก (รวมถึงคนเชื้อสายจีน) ที่เสียชีวิตแล้วจะใช้วิธีฝังศพกันเป็นหลัก

แน่นอน อะไรพวกนี้มันทำให้เกิดนัยต่างๆ กันมากมาย ทั้งในเชิงกฎหมายที่บ้านเราไม่มี ‘Cold Case’ หรือคดีที่ไขไม่ได้ แต่สุดท้ายสามารถขุดศพขึ้นมาไขคดีอีกครั้งภายใต้เทคโนโลยีใหม่ ไปจนถึงการที่ผีในความเชื่อของบ้านเรามักจะเป็นวิญญาณไม่มีร่างกายซะเยอะ ไม่ใช่ผีดิบที่เป็นตัวๆ ขึ้นมาจากหลุมแบบของฝรั่ง ซึ่งนำไปสู่จินตนาการแบบซอมบี้ล้างโลกที่ถูกเอาไปสร้างเป็นหนังและซีรีส์กันมากมาย

แต่ประเด็นที่อยากจะพูดในที่นี้ก็คือ จริงๆ แล้วในโลกตะวันตก การเผาศพไม่ใช่ธรรมเนียมดั้งเดิม เพราะมันเพิ่งฮิตขึ้นสุดๆ ในยุคหลังๆ โดยประเทศกลุ่มที่เป็นคริสต์สายโปรเตสแตนท์นั้นมีอัตราการเผาศพมากสุด โดยพวกประเทศอย่าง อังกฤษ สวีเดน เดนมาร์ก แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ทุกวันนี้คือคนตายราวๆ 3 ใน 4 นั้นก็ใช้วิธีเผาเกือบหมดแล้วคนที่จะฝังคือคนส่วนน้อย

แพตเทิร์นแบบนี้เราจะเห็นในรัฐที่หัวก้าวหน้าของสหรัฐอเมริกาที่คนส่วนใหญ่ตายแล้วก็เผาเหมือนกัน แต่จะมีพวกรัฐทางใต้กับรัฐกลางประเทศตอนบน’ (ที่คนอเมริกันเรียกโซนนี้ว่ามิดเวสต์’) ที่เป็นฐานสำคัญของแนวคิดอนุรักษ์นิยมนี่แหละที่คนส่วนใหญ่ยังเลือกจะฝังศพอยู่ เลยทำให้คนอเมริกันเพียงราว 50 เปอร์เซ็นต์เศษๆ เท่านั้นที่จะฝังศพกันถ้าดูสถิติจากทั้งประเทศ และนอกจากนี้พวกโซนยุโรปใต้ที่เป็นฐานหลักของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แม้ว่าอัตราการเผาศพจะยังไม่ถึงครึ่งประเทศ แต่อัตราก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีๆ  ฝรั่งถึงหันมาใช้วิธีเผาศพกันมากขึ้น

จริงๆ คำอธิบายอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่เราอยากจะยกคำอธิบายของทางฝั่งสหรัฐอเมริกาเป็นตัวแบบพื้นฐานที่น่าจะไปอธิบายประเทศอื่นๆ ได้

ประการแรกเลย การเผาศพเป็นต้นทุนการจัดงานศพที่ถูกกว่าการจัดงานศพแบบฝังตามจารีตเดิม ซึ่งมีอุตสาหกรรมจัดงานศพ (อันเป็นธีมของซีรีส์อเมริกันที่ดังช่วงต้น 2000s อย่าง Six Feet Under) และอุตสาหกรรมพวกนี้ก็จะชาร์จเงินคนสุดๆ เพราะถือว่าคนไม่มีทางเลือก ยังไงก็ต้องจัด โดยต้นทุนการจัดงานศพก็จะต่างกันไปแต่ละรัฐ ซึ่งมันก็สตาร์ทตั้งแต่ประมาณ 2 แสนบาทถึง 5 แสนบาท

ส่วนถ้าจะเผาศพ ต้นทุนก็จะถูกๆ เลย ทั่วๆ ไปเต็มที่ไม่เกิน 6-7 หมื่นบาท และหาถูกๆ ก็อาจได้ไม่ถึง 5 หมื่นบาท ซึ่งนี่ทำให้เหตุผลทางเศรษฐกิจในการเผาศพนั้นชัดเจนมากสำหรับคนที่ไม่อยากให้การตายของตนเป็นภาระของคนที่เหลืออยู่มากมายนัก     

ประการที่สอง คนเริ่มห่วงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บางคนอาจมองว่าการเผาศพทำให้โลกร้อน แต่ในอีกด้าน การจะรักษาสุสานให้มีหญ้าเขียวๆ แบบที่เห็นนี่ก็ใช้ยาฆ่าแมลงหนักๆ เช่นกัน และก็เป็นที่รู้กันว่าดินแถวสุสานนี่เป็นพิษสุดๆ และการทำที่ดินให้เป็นสุสานก็ทำให้พื้นที่แถวนั้นทำประโยชน์อะไรอย่างอื่นไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ การสร้างสุสานมันเป็นการใช้พื้นที่สิ้นเปลือง และนี่เป็นจริงแม้แต่ในชาติที่มีพื้นดินกว้างใหญ่ไพศาลแบบสหรัฐอเมริกา ดังนั้นประเทศที่มีพื้นที่น้อยกว่าก็ไม่ต้องพูดถึง

ประการที่สาม คนถอยห่างจากศาสนาคริสต์ขึ้น อันนี้พูดง่ายๆ ก็คือ คนไม่ไปโบสถ์กันแล้ว ในอเมริกานี่ถือว่าหนักน้อยแล้ว เพราะในยุโรป คนไม่ไปโบสถ์กันจริงๆ เนื่องจากฝรั่งรุ่นใหม่ๆไม่มีศาสนากันมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งพอไม่เอาศาสนา ไม่ไปโบสถ์ คุณก็จะไม่มีความยึดโยงกับโบสถ์และพิธีกรรมต่างๆ และนั่นทำให้มันไม่มีความชัดเจนว่าคุณตายแล้วจะฝังศพ ศพคุณจะถูกฝังที่ไหน เพราะก็แน่นอน คุณไม่สามารถเดินดุ่มๆ ไปแล้วบอกว่าถ้าตัวเองตายไปแล้วจะฝังศพที่สุสานนี้ๆ ได้แบบดื้อๆ เพราะที่ดินแต่ละสุสานมักจะเกี่ยวพันกับพิธีกรรมของแต่ละศาสนาอยู่แล้ว

ในแง่นี้ การเลือกจะเผาศพก็เลยเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลในการกำจัดร่างตัวเองของคนที่ไม่ไปโบสถ์หรือกระทั่งไม่นับถือศาสนา อันเป็นไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ๆ

สุดท้าย แม้ว่าการเผาศพจะเป็นแนวทางที่มาแรงในการจัดการศพในปัจจุบัน แต่เขาก็มีทางเลือกมากขึ้นในการจัดการศพ ไม่ว่าจะเป็นการฝังไปพร้อมต้นไม้ หรือกระทั่งการตุ๋นละลายศพด้วยพลังงานสะอาด ซึ่งทั้งหมดก็เกิดจากข้อวิจารณ์ว่าการเผาศพมันทำให้โลกร้อนนั่นเอง

อ้างอิง

Scroll.in. Why many more Americans are choosing cremation over burials.  https://bit.ly/3Bxi1gS

Wikipedia. List of countries by cremation rate. https://bit.ly/3QXqTSw