ไม่คุ้มแต่ต้องไปต่อ! ฟังเสียงเจ้าของร้านอาหาร หลังเปิดให้นั่งกินที่ร้านมา 3 วัน ตามมาตรการให้นั่งกินที่ร้านได้ 25%
“ไม่คุ้ม แต่ทิ้งลูกน้องไม่ได้ ต้องร่วมกันไป หยุดแล้วเด็กเอาไรกิน”
เสียงเล็กๆ จากป้าพร เจ้าของร้านเจ๊พร ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ขาหมู ย่านบางรักที่เปิดขายมายาวนานกว่า 10 ปี กล่าว หลังจากเปิดให้นั่งกินที่ร้านตามประกาศมาตรการผ่อนคลายให้กับร้านอาหาร ที่มีผลตั้งแต่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น โดยสามารถนั่งกินที่ร้านได้ 25% ของที่นั่ง (1 โต๊ะ นั่งได้แค่ 1 คน) ได้ถึง 21.00 น.
แม้ว่าตัวเธอจะมีความกลัวต่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 รวมถึงครอบครัวลูกหลานก็กลัว รวมถึงเป็นห่วงเลยอยากให้เธอหยุด ไม่อยากให้เสี่ยงติดเชื้อ เพราะการเปิดร้านอาหารมีความเสี่ยงก็สูง และยิ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่เสี่ยงอย่างโรงพยาบาลความเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
แต่เธอยังคงยืนยันที่จะเปิดร้านเพียง 8 โต๊ะ ต่อไป ถึงจะต้องหยิบเอาเงินก้อนที่ตัวเองเก็บออกมาใช้แล้วก็ตาม
เพราะเธอมองว่า เรามีข้าวกินสามมื้อแต่ถ้าหากปิดร้านลูกน้องจะกินอะไร จะอยู่อย่างไรไหว เขาก็มีครอบครัว มีภาระที่ต้องใช้จ่าย เธอเลยไม่ลดค่าแรงลง นอกจากนั้นเธอยังทำประกันโควิด-19 ให้กับลูกน้องในร้านทุกคนอีกด้วย แต่ขอเพียงให้พวกเขาขยันมากขึ้น ตอนนี้อาจจะว่างกว่าปกติแต่อย่าเกี่ยงกัน มีอะไรต้องคอยช่วยเหลือ สามัคคีกันไว้ก่อน
อีกทั้งเธอยังบอกอีกว่า โควิดรอบสามคนกลัวมากกว่ารอบหนึ่งอีก รอบสามหนักมากเผาจริง ถ้ามีรอบสี่นี่เก็บกระดูกเลย แต่ทว่าเธอขอสู้จนนาทีสุดท้าย ซึ่งเป็นประโยคที่เธอบอกกับลูกน้องมาตลอด
“รายได้ที่เคยได้ก็หายไปหมด”
จากเดิมที่เธอมีลูกค้ามานั่งกินอาหารที่ร้านเพราะติดใจในรสชาติ และราคา จนบางครั้งมีการบอกต่อ ลูกค้าก็จะซื้อกลับบ้านไปฝากคนอื่นมากขึ้นจากที่ได้หลักสิบก็เป็นหลักพัน แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้จึงทำให้กลุ่มลูกค้าที่เคยมากินก็ลดน้อยลงมาก อย่างพนักงานบริษัทที่เคยมากินหยุดหมดต้องอยู่บ้าน ทำให้คนที่มานั่งกินในร้านมีจำนวนน้อยลง
“ขายราคาเดิม เท่าเดิม ไม่ได้ลดปริมาณอาหารลง”
เธอคิดว่า การระบาดโรคโควิด-19 ในแต่ละระลอกเธอพยายามประหยัด ปรับตัวให้มากที่สุด และจะใช้ชีวิตไม่ได้หรูหราอะไรมาก ซึ่งยังขายปกติเหมือนเดิม ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้ต่อไป ทั้งนี้ยังดีที่ร้านเธอเปิดขายในพื้นที่ใกล้โรงพยาบาลเลยพอมีผู้คนแวะเวียนมาซื้อกินกันอยู่ รวมถึงมีเดลิเวอรี่ที่คอยส่งตามบ้าน และไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ เนื่องจากเป็นบ้านของสามีเธอ
“หาวัตถุดิบยากมาก และแพงจัด”
เธอเล่าถึง สถานการณ์ในช่วงนี้ที่ตลาดหลายแห่งถูกล็อกดาวน์เป็นเวลาราวครึ่งเดือน ทำให้วัตถุดิบที่เคยซื้อจาก 10 บาทก็เพิ่มขึ้นเป็น 20 บาท ทั้งๆ ที่ไม่มีโรงแรมหรือร้านอาหารหรูๆ แต่ราคาเป็ดไม่ลดลงกลับขึ้นราคาด้วยซ้ำ ซึ่งเธอพอเข้าใจจุดนี้ เพราะวัตถุดิบหายากขึ้น อีกทั้งมีค่าเสียเวลา ค่าขนสินค้าเข้ามาร่วมด้วย
“มาตรการเยียวยาผิดหมด”
ในมุมมองของเธอต่อภาพรวมของมาตรการเยียวยา เธอมองว่า ควรนำเงินที่แจกในการเยียวยามาจัดการเรื่องวัคซีนตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 รอบแรกแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการแพร่เชื้อกระจายตามชุมชนหนักเช่นนี้ รวมถึงควรมีการระงับการจ่ายภาษีของภาคประชาชน และภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากพิษโควิดนี้
“อยากได้วัคซีนให้เร็วที่สุด”
เธอบอกทิ้งท้าย และตอกย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ขอเหอะ! เพราะเธอคิดว่า การฉีดวัคซีนจะทำให้มีภูมิต้านทางกันมากขึ้น และถ้าสถานการณ์รอบตัวเราดี น่าจะพลิกฟื้นให้สถานการณ์กลับมาดีขึ้นได้เร็วๆ
อย่างไรก็ดี จากที่รับฟังเสียงของป้าพร เราสัมผัสได้เลยว่า เธอที่มีทั้งจิตใจ และอารมณ์ที่ดี ซึ่งเธออยากช่วยเหลือลูกน้องในร้านของเธอให้อยู่รอด และสู้ไปด้วยกัน แม้ว่าลึกๆ ตัวเองจะอยากหยุดพักเพราะไม่คุ้ม แต่ถ้าท้ายสุดแล้วเธอก็คงไปต่อไม่ไหว หากสถานการณ์ยังคงย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ
แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับมาตรการต่างๆ รวมถึงสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ในตอนนี้กันบ้าง มาแชร์กันดีกว่า