COVID RELIEF BKK เมื่อวิกฤตยังไม่ผ่านพ้นไป การเยียวยาจิตใจผู้คนก็เป็นสิ่งสำคัญ
หากย้อนกลับในช่วงเริ่มต้น ต้องขอเล่าให้ฟังก่อนว่า โครงการ COVID RELIEF BKK
เกิดจากความตั้งใจของหลายฝ่าย เพื่อการดูแลกลุ่มคนที่รายได้น้อยในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ยังจำเป็นต้องออกไปทำงาน หรือเข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอนามัยขั้นพื้นฐาน
เป็นการร่วมมือกันระหว่าง มูลนิธิสติ มูลนิธิ Scholars of Sustenance , Urban Studies Lab และ Bangkok 1899 เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว
โดยมีแผนการแจกจ่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอนามัยซึ่งได้ใช้ข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรจาก Urban Studies Lab ในการระบุและค้นหาชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ตามอายุและรายได้
ทีมงานรู้ดีว่าไม่มีใครอยากรอคอยแต่ความช่วยเหลือ ไม่มีใครอยากรอรับแต่ของบริจาค แต่ก็ไม่มีใครอยากทนหิวและอดตายอีกเช่นกัน เมื่ออาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน ในเวลาที่คนเราไม่มีทางเลือก การขาดแคลนอาหารจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่บีบคั้นให้คนบางกลุ่มออกไปทำงาน ออกไปใช้ชีวิต ถึงแม้จะเป็นการใช้ชีวิตที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มากเป็นพิเศษ เสี่ยงกับโรคร้ายที่ใครต่อใครต่างหลีกหนี
ไม่ว่าคนในบ้านเมืองจะสังเกตเห็นหรือไม่ แต่ปัญหานี้มันมีอยู่จริง มันเกิดขึ้นจริง หากมองจากตัวเลขของทางโครงการ เราจะเห็นเลยว่า แค่ในเมืองหลวง เราก็มีผู้สูงอายุและผู้ที่มีรายได้ต่ำได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้หลายหมื่นราย กลุ่มคนที่อาจจะยังเข้าไม่ถึงการเยียวยาจากภาครัฐฯ กลุ่มคนที่ไม่มีสมาร์ตโฟนมาร้องขอความช่วยเหลือ กลุ่มคนที่อาจเข้าไม่ถึงความสุขจากตู้แบ่งปัน คนกลุ่มที่ต้องการอาหารประทังชีวิตไปในแต่ละมื้อแต่ละวันยังมีอยู่จริง
โดย COVID Relief Pack 1 ชุด จะประกอบไปด้วย สิ่งของที่ต้องใช้ในสถานการณ์วิกฤต อาทิ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ทําความสะอาดมือ เจลล้างมือ สบู่ ผงซักฟอก อาหารกระป๋อง ข้าวสาร ผลไม้ ไข่ วัตถุดิบในการปรุงอาหาร ถุงมือ หน้ากากคลุมหน้า ชุดอนามัย เป็นต้น
ซึ่งการช่วยเหลือในแง่ของอาหารเป็นเพียง Phase 1 ของการเยียวยาฟื้นฟูผู้คนจากวิกฤตในครั้งนี้เท่านั้น
Phase 2 เยียวยาหัวใจ
เราทั้งหลายต่างรู้ดีว่าวิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตครั้งสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสาธารณสุขโดยตรง หลายคนต้องตกงาน หลายคนต้องเจ็บป่วย หลายคนเกือบไม่มีกิน แต่นอกจากเรื่องของเงิน หรือสุขภาพแล้ว เราก็ต้องยอมรับว่า ‘สภาพจิตใจ’ ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่เสียหายไม่แพ้กัน
สำหรับใน Phase 2 ทาง Covid Relief Bangkok และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนมีความตั้งใจสนับสนุนบริการด้านสุขภาพจิตสำหรับผู้มีรายได้น้อยกว่า 20,000 ครัวเรือน ที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ ความวิตกกังวล และความเครียด จากสภาวะที่ไม่แน่นอนของสังคม ความไม่แน่ที่ว่า โรคร้ายจะมาเยือนเมื่อไหร่ ความทุกข์ยากจะอยู่ไปนานแค่ไหน แล้วทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนปกติ ณ ช่วงเวลาใดกันแน่
โดย คุณเกรซจากมูลนิธิ SATI เล่าให้เราฟังว่า “ทางทีมงานมีหน้าที่ระยะยาวในการคิดแก้ปัญหา แต่เราก็มีหน้าที่ในการลงแรง ในการทำให้ทุกอย่างมันมาเจอกันด้วย เราเห็น เขาไม่มีข้าวทานจริงๆ เขาได้ข้าวกระสอบนึง เขาดีใจมาก เขารู้เลยว่าวันนึง เขากินได้กี่ถ้วย เขากินได้นานแค่ไหน”
เราเห็นเด็กนั่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกวัน มันถูก ทุกคนหาได้ แต่เรื่องร่างกายขึ้น เด็กไปกินแบบนั้นทุกวัน มันก็ไม่ได้ดีต่อสุขภาพ เราก็เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันมีความจำเป็นจริงๆ ‘ข้าว ปลา นม’ พยายามคัดมาเป็นนมถั่วเหลือง เพราะส่วนมากคนไทยจะแพ้นมวัว ก็เลยพยายามปรับให้มันมีวิตามิน โดยหน้าที่ที่เราทำได้
ช่วงที่ผ่านมาก็ค่อนข้างจะหนัก การที่เราลงพื้นที่มันก็หนักกาย แต่ใจเราก็สู้ตลอดอยู่แล้ว เราลงชุมชน เราเห็นปัญหาจริง เห็นทุกวัน เห็นจนรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อ ผมเคยคิดว่าปัญหามันจะอยู่เป็นเขต แต่ความเป็นจริงแล้วมันคือชุมชน อย่าง อ่อนนุช ก็เป็นพื้นที่ที่ดูเหมือนจะมีเงิน แต่ถัดไปอีกนิดเดียวก็มีชุมชนแออัดใต้สะพาน
หรืออย่างห้วยขวาง จะมีหมู่บ้านคนรวย แต่ข้างหลังหมู่บ้านก็เป็นสลัม แบบแทบจะนอนกันติดกองขยะเลย มันเป็นแบบนั้น ไม่ได้เป็นเฉพาะบางเขต แต่มันอยู่รอบๆ เรา
เขาลำบากแบบนั้นมานาน แค่โควิดยิ่งทำให้เขาลำบาก การที่โควิดเกิดขึ้นมันเป็นปัญหาใหม่ แต่มันไม่ได้แปลว่าปัญหาเก่ามันหายไปหมด คนที่ติดยาก็ยังติดยา คนที่เดือดร้อนก็ยังเดือดร้อน หลังจากวันนี้ผ่านไป อาจจะมีคนที่ติดยามากขึ้น มีคนที่ลำบากมากขึ้น มีคนที่ตกงานมากขึ้น กว่าที่ประเทศจะกลับมาสภาพฟื้นเหมือนเดิมน่าจะหลายปี แล้วไม่รู้ว่าจะกลับมาเหมือนด้วยซ้ำ ไม่มีใครบอกได้
คนที่ขาดเขาจำเป็นต้องมี คนที่มีเกินก็อาจจะต้องปรับตัว
เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดเรื่องนั้น ผมคิดว่าทุกคนอย่างน้อยก็มีข้าวกิน แต่เราสนใจเรื่องคุณภาพอาหารมากกว่า อาหารมันอาจจะถูกลงเรื่อยๆ แต่คุณภาพมันก็ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งคนที่เขาขาดรายได้เขาก็ต้องกิน กินเพื่ออยู่ มันเหมือนเป็นการแบ่งแยกธรรมชาติ”
โดยทีมงานได้ร่วมมือกับเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตในการสร้าง การขยายการฝึกอบรมและการบริการด้านสุขภาพจิตในเขตที่มีรายได้น้อยในกรุงเทพฯ เพื่อ
- กระจายการรับรู้เกี่ยวกับทรัพยากรด้านสุขภาพจิตที่มีอยู่
- ใช้โมเดล “อบรบผู้อบรม” ช่วยให้ผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขสามารถระบุและตอบสนองต่ออาการป่วยทางจิตในชุมชนได้ท่วงที
สำหรับโมเดล “อบรบผู้อบรม” จะเป็นการร่วมมือกับอาสาสมัครสาธารณสุขและเครือข่ายผู้ทำงานด้านสุขภาพและสังคมโดยมีเป้าหมายในการฝึกอบรม 1,000 คนในตำบลที่มีรายได้น้อย โดยบุคคลเหล่านี้จะเป็นตัวแทนการดูแลด้านสุขภาพจิตขั้นพื้นฐานแก่คนในชุมชนตัวเอง
และยังร่วมมือกับ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (Community Organization Development Institute: CODI) ซึ่งเป็นกองทุนชุมชนมูลค่า 3 พันล้านบาทที่พร้อมช่วยบรรเทาปัญหาความยากจนในเมืองหลวงด้วยการสร้างเครือข่ายและระบบต่างๆเพื่อสนับสนุนและให้ทุนแก่ธุรกิจขนาดเล็กที่ริเริ่มโดยชุมชน
ซึ่งทางฝั่ง CODI ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี จะเข้ามาช่วยชุมชนในการบริหาร “กองทุนพัฒนาชุมชน” เป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่ผสมกับเงินระดมทุน CODI เพื่อสนับสนุนโครงการชุมชน เช่น ที่อยู่อาศัย การซื้อที่ดิน การดำรงชีวิต การศึกษา หรือการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน
พร้อมทั้งคัดเลือก 30-50 โครงการที่มีศักยภาพสูงผ่านโครงสร้างกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนมาให้กับโครงการ Covid Relief Bangkok ซึ่งเน้นไปที่การสร้างอาชีพให้กับชุมชน โครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่ชุมชนต้องการจะพัฒนาเป็นธุรกิจชุมชนขนาดเล็ก และกำลังยื่นขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนพัฒนาชุมชน
รวมถึงการฝึกอบรมระดับองค์กร การจับคู่เทรนนิ่งกับโค้ช และสินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กหรือเงินช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนอีกด้วย
คุณเองก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้คนได้ผ่าน การช่วยบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนเครือข่ายด้านสุขภาพจิต หรือหากคุณมีความเชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมด้านสุขภาพจิต ขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมกับเราในฐานะอาสาสมัคร
สามารถติดตามแคมเปญ COVID RELIEF BKKได้ที่: https://www.brandthink.me/campaign/covid-relief-bkk-2
บัญชีธนาคาร
ธนาคาร: TMB
ชื่อบัญชี: มูลนิธิยุวพัฒน์ เพื่อโครงการ SOCIALGIVER
(Yuvabadhana Foundation for Socialgiver)
หมายเลขบัญชี 075-1-07978-1
กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่ Line: @Socialgiver
ทาง SOCIAL GIVER ขอสงวนสิทธิ์การออกใบเสร็จเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสำหรับยอดบริจาคตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป เพื่อที่เราจะสามารถนำส่งเงินบริจาค 100% ให้โครงการเพื่อสังคมโดยไม่หักค่าใช้จ่าย ขอบคุณค่ะ
ทั้งนี้ทาง Socialgiver ไม่ได้มีการหักค่าธรรมเนียมหรือคิดค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น เงินบริจาคจะถูกส่งมอบไปยังโครงการเพื่อสังคม 100%
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.facebook.com/groups/covidreliefbkk