3 Min

รู้ไหม? ยาที่จะใช้ยุติโควิด อาจมาจาก ‘พืชมีพิษ’ แถบเมดิเตอร์เรเนียนที่เคยเป็นยาเมื่อ 2,000 ปีก่อน

3 Min
427 Views
20 Jan 2022

ในโลกนี้จริงๆ แล้วยาที่มนุษย์ใช้กันประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ยาที่เกิดจาก ‘การสังเคราะห์’ สารเคมีใหม่ๆ แต่เกิดจากธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดจากพืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ต่างๆ และในบรรดายาพวกนี้ราว 1 ใน 3 นั้นมาจากพืช

หรือพูดง่ายๆ ว่ายา 25 เปอร์เซ็นต์ ที่มนุษย์ใช้กันทุกวันนี้มีที่มาจากพืช และพวกยาที่เกิดจาก ‘สารสกัดจากพืช’ พวกนี้ แทบทั้งหมดมาจาก ‘ความรู้ยุคโบราณ’ ที่คนรุ่นก่อนๆ ลองผิดลองถูกจนพบว่าส่วนใดของพืชชนิดไหนสามารถใช้รักษาอาการเจ็บป่วยใดๆ ได้

ถามว่ามนุษย์รู้ได้ยังไง? เหตุผลก็ง่ายๆ เลยคือ มนุษย์สังเกตพฤติกรรมสัตว์ ดูเวลาป่วยว่ามันจะกินส่วนไหนของพืช แล้วก็ลองเอาพืชส่วนนั้นๆ มาสกัดทำยา ซึ่งกระบวนการนี้มนุษย์ทำได้โดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องโมเลกุลหรือเชื้อโรคใดๆ และ ‘ยา’ จากยุคโบราณหลายต่อหลายชนิดก็ยังใช้กันอยู่ทุกวันนี้

ที่เกริ่นมาไม่ใช่อะไร แต่ตอนนี้ที่มนุษย์สู้กับโควิดจนเหนื่อยแล้ว แต่ก็ยังไม่มี ‘ยารักษา’ ที่ใช้ได้สำหรับโควิดทุกสายพันธุ์ (ยาที่ทยอยออกมาเขาก็สงสัยว่ามันอาจ ‘เหมือนวัคซีน’ คือเวิร์กกับโควิดแค่บางสายพันธุ์ ถ้าโควิดกลายพันธุ์ไปอีก ยานั้นก็ใช้ไม่ได้) ก็เลยมีนักวิจัยกลุ่มหนึ่ง ‘หันไปหาธรรมชาติ’ หรือกระทั่ง ‘หันไปหาภูมิปัญญาโบราณ’ ในการพัฒนายารักษาโควิด

‘ธรรมชาติ’ ที่ว่าคือพืชมีพิษที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thapsia villosa หรือชื่อเล่นว่า ‘แครอทแห่งความตาย’ โดยจริงๆ แล้วพืชชนิดนี้ถูกใช้เป็นยามากกว่า2 พันปีแล้วในแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยจริงๆ แล้วดั้งเดิมพืชนี้ก็มีสรรพคุณทางยาเยอะอยู่ เพราะใช้ตั้งแต่เป็นยากิน ยาถ่าย ไปจนถึงใช้เป็นยาทาเพื่อรักษาโรคข้ออักเสบไปจนถึงโรคหิด

ในโลกสมัยใหม่ จริงๆ คนก็เริ่มกลับมาหาภูมิปัญญาโบราณของยาตัวนี้ตั้งแต่การพยายามจัดการกับไข้หวัดใหญ่ที่พบเป็นครั้งแรกว่าสารสกัดจากพืชตัวนี้สามารถหยุดการเติบโตของไวรัสได้ และต่อมาพอไปทดลองกับโควิดสายพันธุ์แรก ก็พบว่ามันทำให้เชื้อเติบโตเช่นกัน และผลวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Virulence ก็พบว่ามันสามารถหยุดการเติบโตของไวรัสโควิดได้ทุกสายพันธุ์

ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะยังไม่มียาอะไรทำได้แบบนี้ และก็แน่นอน มันจะมีการพัฒนาต่อยอดไปแน่ๆ และถ้าทำสำเร็จ มนุษยชาติก็อาจ ‘ชนะ’ โควิดด้วยการกลับไปหาภูมิปัญญาโบราณที่ใช้ ‘สมุนไพร’ รักษาโรค

ถามว่าทำไมมนุษย์ถึงเพิ่งจะหันมาใช้พืชที่ว่านี้?

คำตอบมันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำไมการแพทย์สมัยใหม่ถึงเลิกใช้พืชนี้รักษาโรคต่างๆ นั่นคือ พืชนี้ ‘เป็นพิษร้ายแรง’ และเป็นพิษในระดับที่พวกชาวประมงนั้นใช้พืชชนิดนี้ ‘น็อคปลา’ ให้เป็นอัมพาตก่อนจะจับปลาด้วยซ้ำ

ดังนั้นพืชชนิดนี้จึงคล้ายกับ ‘ยาแผนโบราณ’ จำนวนมากที่มีลักษณะเป็นสิ่งที่ในภาษากรีกเรียกว่า Pharmakon ซึ่งแปลว่า ‘ยารักษา/ยาพิษ’ พร้อมกัน ตรงกับหลักพิษวิทยาขั้นพื้นฐานที่ว่า ทุกอย่างที่เป็น ‘ยา’ ถ้าร่างกายรับมากเกินไปมันจะกลายเป็น ‘ยาพิษ’ ได้ทั้งนั้น

พูดง่ายๆ พืชชนิดนี้มีพิษร้ายแรงระดับทำให้มนุษย์เจ็บป่วยได้ถ้าร่างกายรับมากเกินไป การแพทย์สมัยใหม่ก็เลยเลือกที่จะใช้ยาตัวอื่นๆ ที่มัน ‘เสี่ยง’ น้อยกว่า เพราะหลักการพัฒนายาสมัยใหม่ พื้นฐานก็คือถ้าต้องเลือกระหว่างยาที่กินไปแล้ว ‘เสี่ยงน้อย’ กับ ‘เสี่ยงมาก’ แล้วสรรพคุณใกล้เคียงกัน ก็ต้องเลือกยาที่ ‘เสี่ยงน้อย’

ดังนั้น ‘พืชที่มีพิษร้ายแรง’ ทั้งหลายที่มนุษย์เคยใช้เป็นยาก็เลยถูกถอดออกจากสารบบยาจนหมด เว้นแต่มนุษย์จะสิ้นหวังจริงๆ และกลับมาควานหาว่าพวกพืชพวกนี้อาจเป็น ‘ทางออก’ ในการรักษาโรคที่การแพทย์สมัยใหม่หมดปัญญาจะเยียวยา ดังเช่นกรณีที่เล่ามานี้

สุดท้ายที่น่าสนใจคือ จนถึงทุกวันนี้ มนุษย์ก็ยังไม่ได้ศึกษาสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ จากพืชอย่างเป็นระบบ หรือถ้าจะพูดให้เป็นตัวเลขก็คือ ในทางวิทยาศาสตร์ มันมีการศึกษาสรรพคุณของพืชในการรักษาโรคเพียงไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของพืชที่มนุษย์รู้จัก

ในแง่นี้มีความเป็นไปได้ว่า ‘ยา’ ที่มนุษย์ค้นคว้าหาแทบตาย สังเคราะห์ในห้องทดลองแทบตาย จริงๆ มันอาจมีอยู่แล้วในธรรมชาติก็เป็นได้ เพียงแต่การวิจัยยังไปไม่ถึงเท่านั้นเอง

อ้างอิง

  • IFLS. Plant-Based Antiviral Drug Effective Against All Known COVID-19 Variants. https://bit.ly/3GNiflu
  • Wikipedia. Thapsia villosa. https://bit.ly/3fGbdTz
  • Bob Zebroski, A Brief History of Pharmacy: Humanity’s Search for Wellness, (New York: Routledge, 2016)