ออกสาวเกินไปจะไม่มีใครชอบ? ‘มูย่า-ฐามุยา’ พาหนังทะลุกรอบความเชื่อเรื่องเพศ ขยายขอบเขตแห่งความเท่าเทียม กับผลงานใหม่เรื่อง ‘Suits’

6 Min
784 Views
10 Jul 2023

ใครที่ได้เคยดู ‘Voices of the New Gen’ หรือ เสียง (ไม่) เงียบ 2022 อาจคุ้นหูกับชื่อ ‘มูย่า-ฐามุยา ทัศนานุกุลกิจ’ ในฐานะผู้กำกับหญิงข้ามเพศกันมาบ้างแล้ว วันนี้เราพาเธอมานั่งพูดคุยถึงผลงานล่าสุดภายใต้บ้าน BrandThink Cinema อย่าง ‘Suits’ ที่ได้เป็นภาพยนตร์ในการฉายปิดเทศกาล ‘This is Pride of Siam’ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และกำลังเตรียมฉายทางออนไลน์ผ่าน Cornetto และ BrandThink Cinema

ไม่เพียงเรื่องราวบนจอภาพยนตร์ของมูย่าในครั้งนี้ ที่ยังคงสวยงาม คมคาย แต่ทุกคำตอบของตัวเธอเองตลอดการสนทนาล้วนพาเราให้ฉุกคิดเรื่อง ‘คนในคอมมูฯ’ อันเป็นชื่อเรียกของคนในสังคม LGBTQ+ รวมถึงเปิดประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศซึ่งเป็นที่มาของผลงานใหม่ได้อย่างน่าติดตาม

‘Suits’ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร

ด้วยความที่เราอยากทำหนังรัก แต่จริงๆ แล้วเราเป็นคนที่ไม่ชอบดูหนังรัก ไม่อินความรัก ไม่ชอบคำว่ารักด้วยซ้ำ แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นความต้องการของเราเหมือนกันที่ต้องท้าทายตัวเอง งานนี้อาจจะเป็นงานที่ได้ทำให้คนรู้สึกว่า คนที่เป็นเฟมินีนเหมือนกันสามารถที่จะรัก สามารถที่จะมีภาพจำความรัก แล้วก็เป็นเรื่องรักธรรมดาๆ อยู่ในเรื่องนี้ เรื่องราวมันก็เลยเกี่ยวกับ ‘เน็ท’ เกย์ออกสาวคนหนึ่งที่ห่างจากบ้านมาเรียนในกรุงเทพฯ หลายปี ต้องกลับไปงานแต่งพี่ชาย แล้วเขาก็ชอบการแต่งกายเป็นผู้หญิง และมีแฟนที่มีรสนิยมแบบนี้เหมือนกัน การที่ที่บ้านส่งชุดสูทมาให้เขาเพื่อใส่ไปร่วมงานแต่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดที่ต้องกลับไปเจอความสัมพันธ์กับแม่เขาที่ยอมรับให้เขาเป็นเกย์ได้ แต่อยากให้เป็นเกย์ที่แมน ที่มีความเป็นเพศชายสูง มันก็จะมีเรื่องราวเหล่านี้สอดแทรกอยู่ในหนัง

อะไรคือแรงบันดาลใจในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง ‘Suits’

เริ่มจากที่แคมเปญ ‘No Wrong Way To Start’ ของ Cornetto ได้สร้างโปรเจกต์ ‘หยิบเรื่องเรา มาเล่าเป็นหนัง’ ขึ้นมา แรงบันดาลใจจึงมาจากทุกเรื่องราวที่ถูกแชร์เข้ามา เพราะทุกเรื่องราวความรักเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่สวยงาม และใครหลายคนอาจจะยังไม่ได้รับรู้ว่าความรักของเพศที่หลากหลายมันมีอยู่จริง รวมทั้งภาพจำในสังคมที่ไม่ได้มีมากพอ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในเรื่อง ‘Suits’ ขึ้นมา เราเลือกเรื่องที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องราวความรักที่ไม่ค่อยได้เห็น เราอยากจะสร้างเรื่องราวของความรักที่มันมีอยู่จริงในสังคม แต่ไม่เคยถูกเผยแพร่ผ่านสื่อในไทยเลย

ส่วนไหนในการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประทับใจเป็นพิเศษ

เราประทับใจกับนักแสดง เรารู้สึกว่าทุกคนอยากจะบอกเล่าเรื่องราว LGBTQ+ กันในช่วงของ Pride Month มันเลยทำให้เวลาการทำงานน้อยมาก แต่ทุกคนก็อยากผลักดัน ขับเคลื่อนมันออกมาให้เสร็จทัน เพื่อที่จะให้ผู้ชมสนใจมากที่สุด แต่ว่าในอนาคตเอง ถ้าหากคอนเทนต์ LGBTQ+ มันสามารถที่จะอยู่ได้ตลอดทั้งปี Pride Month อาจจะเป็นแค่ช่วงที่เฉลิมฉลองก็ได้ เราก็อยากจะให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้น เวลาทำงานเราก็จะได้เยอะขึ้นด้วย (หัวเราะ) แต่สิ่งที่เราประทับใจก็คือการที่ทุกคนสามารถที่จะสร้างสรรค์มันขึ้นมาได้ภายในเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์เอง หนึ่งสัปดาห์กับหนังเรื่องหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แม้แต่ตัวนักแสดงเองที่มีเวลาเวิร์กช็อปน้อย แต่เขาก็สามารถที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองว่าเขาก็เป็นคนในคอมมูฯ เหมือนกัน นักแสดงทั้งสองคนก็อยู่ใน ‘Gay Community’ เหมือนกัน จึงสามารถที่จะบอกเล่าเรื่องราวของเขาเองออกมาได้ ผ่านทักษะและศิลปะการแสดง และการที่เขาสามารถซิงโครไนซ์กันได้อย่างรวดเร็วมาก ทำให้เราประทับใจ และทำให้เรารู้สึกว่าหลายๆ อย่างมันก็สามารถเกิดความพิเศษ เหมือนอย่างเรื่องราวนี้ที่เกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้นได้

ในฐานะที่เราเองก็เป็นคนในคอมมูฯ นี้ เรื่องนี้มีจุดเชื่อมโยงกับเราอย่างไรบ้าง?

เราก็มีเพื่อนที่มีความหลากหลาย (ทางเพศ) เยอะมากๆ โดยเฉพาะในสังคมเกย์ ในประเทศไทยมีการยอมรับว่ามีเกย์อยู่จริงค่อนข้างเยอะ แต่สุดท้ายแล้วมันมีค่านิยมหลายๆ อย่างที่แม้แต่เกย์กันเองก็ยังไม่ได้ออกมาขับเคลื่อนเรื่องราวเหล่านี้อย่างมากพอ ด้วยความที่เพื่อนของเราก็เป็นเกย์ที่มีความเป็นผู้หญิงสูง เขาก็จะมีความรู้สึกเคลือบแคลงกับค่านิยมแปลกๆ ในสังคมเกย์ เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่มีพื้นที่ให้พูด อย่างเช่นค่านิยมที่บอกว่า ‘ออกสาวเกินไปไม่ดี จะไม่มีใครชอบ’ หรือ ความเป็นปิตาธิปไตยในสังคมเกย์ก็ยังมีอยู่สูงมากๆ ทำให้เกิดค่านิยมแปลกๆ มากมายเช่น ‘ออกสาว’ กับ ‘ออกสาว’ จะคบกันไม่ได้ หรือแม้กระทั่ง ‘คนไหนแมน’ ‘คนไหนสาว’ ‘คนไหนรุก’ ‘คนไหนรับ’ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องราวเหล่านี้มันเป็นแค่รสนิยมทางเพศ รสนิยมตามความชื่นชอบ มันไม่ควรจะมาถูกตีกรอบหรือจำกัด มันไม่ควรจะมีเหตุการณ์ที่ ‘คนที่มีความเป็นผู้หญิง’ เหมือนกันมาคบกันแล้วคนจะรู้สึกแปลก แม้กระทั่งคนในคอมมูฯ เองก็ยังรู้สึกว่ามันแปลก คนที่ไม่ได้อยู่ในคอมมูฯ ก็ยิ่งรู้สึกว่า ‘มันมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ’ เราก็เลยรู้สึกว่าความรักมันไม่ควรจะมีภาพตรงนี้มาจำกัด เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย

การได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์มีผลต่อทิศทางการผลิตหนังของเราอย่างไรบ้าง?

โปรเจกต์นี้เราก็ร่วมสร้างมากับ Cornetto ด้วย ซึ่งทาง Cornetto เองก็อยากที่จะส่งสารที่มันมาจากคนในคอมมูฯ จริงๆ เพื่อสะท้อนถึงปัญหาจริงๆ Cornetto เองก็ชื่นชอบประเด็นเกี่ยวกับแม่ด้วย ที่ในปัจจุบันสังคมที่เหมือนจะทำเป็นเปิดกว้างกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่จริงๆ เขาอาจจะเปิดกว้างกับคนที่ไม่ใช่คนใกล้ตัวหรือเปล่า พ่อแม่หลายคนยอมรับเกย์คนอื่นได้ ยอมรับเพศหลากหลายอื่นๆ ได้ แต่พอเป็นคนใกล้ตัวเช่น ลูกตัวเอง ญาติตัวเอง เขาจะมีคำถามมากมาย ซึ่งเรารู้สึกว่าตรงนี้มันไม่ได้ถูกสื่อสารออกมา เพราะส่วนมากคนก็จะมีภาพจำแค่ว่าประเทศไทยเปิดกว้างแล้ว แต่ถ้าลองย้อนกลับไปถามทุกคน ถ้าหากลูกของคุณเป็น LGBTQ+ ขึ้นมาคุณจะรู้สึกยังไง สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ยังอยู่ในสถาบันครอบครัวอยู่ดี

เราเลยรู้สึกว่ามันไม่ควรจะถูกทำให้เป็นแบบนั้น ถ้าลูกเราเป็น (คนที่มีความหลากหลายทางเพศ) เราควรที่จะโอบรับเขา ไม่ว่าสังคมจะเป็นยังไงก็ตาม เราก็ควรจะผลักดันลูกเราให้เป็นตัวเอง ไม่ควรไปปิดกั้นหรือเปลี่ยนแปลงเขาให้อยู่ในค่านิยมที่สังคมอยากให้เป็น ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ Cornetto ชอบและรู้สึกว่าอยากจะร่วมสร้างสรรค์กับเราเพื่อสอดแทรกเข้าไปในหนังด้วย

ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ รู้สึกอย่างไรที่หลังๆ เริ่มมีสื่อทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือละครต่างๆ ที่นำเสนอในมุมมองของความหลากหลายมากขึ้น มีการพูดถึง LGBTQ+ มากขึ้น

รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ รู้สึกว่ามันเริ่มมีภาพจำของ LGBTQ+ ที่มันหลากหลายมากขึ้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะว่าแต่ก่อน LGBTQ+ จะเป็นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น แต่พูดตามตรงแล้วในปัจจุบันตัวละคร LGBTQ+ ที่ได้ขึ้นมาเป็นนักแสดงหลักเองก็ยังมีน้อย

เรารู้สึกว่ามันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่รู้สึกว่ามันสามารถไปได้ไกลมากกว่านี้ เพราะเราสามารถทำให้คนในคอมมูฯ กลายเป็นคนที่อยู่ในเรื่องราวทุกเรื่องได้โดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นที่เขาจะอยู่แค่ในเรื่องที่สร้างขึ้นมาเพื่อ LGBTQ+ เท่านั้น แต่สามารถที่จะอยู่ในเรื่องอะไรก็ได้ และเขาก็เป็นตัวละครเพศหลากหลายที่ไม่จำเป็นต้องมาบอกเล่าความเจ็บปวด หรือว่าเรื่องราวของคนในคอมมูฯ ขนาดนั้น เรารู้สึกว่าเราอยากให้มันไปไกลถึงขั้นนั้น

อย่างซีรีส์วายเอง เรารู้สึกว่าเป็นตลาดที่เปิดกว้างและเริ่มมีการบอกเล่าเรื่องราวความรักของชายรักชาย แต่เราก็ยังรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วมันก็ยังสามารถที่จะบอกเล่าหรือสร้างคาแรกเตอร์ให้มันมีความเชื่อมโยงกับคนในคอมมูฯ จริงๆ มากกว่าแค่เป็นความรักระหว่างเพศชายกับชายอย่างดียว

ในมุมมองของตัวเราที่อยากให้ซีรีส์วายหรือเรื่องราวของ LGBTQ+ ไปได้ไกลขึ้น คิดว่าภาคส่วนไหนสามารถสนับสนุนเราในด้านนี้ได้บ้าง?

เรารู้สึกว่าตัวแบรนด์กับตัวภาครัฐเอง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น เพราะเราอยู่ในสังคมที่ต้องยอมรับว่าสื่อถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองผู้ชม ซึ่งคนที่มีอำนาจในการผลิตก็คือคนที่มีเงินทุน และก็จะเป็นคนที่มีอำนาจในการควบคุมหรือเปิดกว้างเพิ่มความหลากหลายให้สิ่งเหล่านี้ เราเลยรู้สึกว่า แบรนด์ต่างๆ และภาครัฐควรเข้ามาช่วยเหลือโดยการที่เขาเข้าใจเรื่องราวของคนในคอมมูฯ จริงๆ ก่อน

ถึงแม้จะมีเรื่อง LGBTQ+ ออกมามากมาย แต่มันไม่ได้สะท้อนอะไรให้คนในคอมมูฯ ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวของคนในคอมมูฯ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่ ‘สิ่งที่เห็นว่ามีอยู่แต่ไม่ได้เข้าใจ’ เพราะการสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา คือความต้องการให้คนที่เขาไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมในการรักร่วมเพศ หรือความรักที่หลากหลาย ได้เข้าใจเรื่องราวของพวกเขา สิ่งแรกที่ต้องการไม่ว่าแบรนด์ไหนอยากจะทำเพื่อ LGBTQ+ หรืออยากจะช่วยกันผลักดัน ช่วยกันบอกเล่าและช่วยกันทำให้เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติ อยากจะให้เขาเข้าใจเรื่องราวของคนในคอมมูฯ จริงๆ ก่อน ก่อนที่จะทำสิ่งเหล่านั้นออกไป

อยากให้ฝากผลงานเรื่อง ‘Suits’ ให้กับผู้ชม

เราอยากฝากให้มาลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ลองมาเห็นภาพจำความรักแบบใหม่ๆ ดู เราเชื่อว่าหลายๆ คน อาจจะรู้สึกว่าความรักของมนุษย์มันไม่ได้มีขีดจำกัด แต่ยังไม่สามารถจินตนาการได้ว่าภาพมันจะออกมาเป็นแบบไหน เราก็เลยอยากจะฝากเรื่อง ‘Suits’ ที่เป็นหนังรักง่ายๆ ไม่ได้มีประเด็นเว่อร์วังอะไร แต่มันอาจจะทำให้คนอบอุ่นหัวใจที่คุณจะได้เห็นว่าความรักมันไม่ได้จำกัดที่เพศ หรือการแสดงออกผ่านอัตลักษณ์ความเป็นผู้หญิง หรือความเป็นผู้ชายอีกต่อไปแล้ว เราก็อยากจะฝากให้ทั้งคนที่อยู่นอกคอมมูฯ และคนที่อยู่ในสังคมเกย์ ที่หากคุณเองก็อยากจะแสดงออก แต่ยังกลัวที่จะเป็นตัวเอง ให้ดูเรื่องนี้แล้วเป็นแรงบันดาลใจว่าเราสามารถที่จะเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น และมีความรักในแบบที่เราอยากมีได้