สถานการณ์วิกฤตโควิด-19 น่าจะเป็นตัวอย่างสำคัญ ที่ทำให้เราได้เห็นถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก และการดำเนินชีวิต และสิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นของออมเงิน และการลงทุน
เพราะในวันที่โลกหมุน อะไรที่เกิดขึ้นมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมจะมีการเปลี่ยนแปลงในทุกขณะ ความรู้ด้านการบริหาร และการจัดการการเงินในมิติต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
มันคงดีกว่ามาก ถ้าหากเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ก็ยังมีเงินก้อนที่เราออมไว้ หรือมีเงินทุนที่เรานำไปลงทุนไว้อยู่ เงินก้อนนี้ไม่ได้เพียงจะทำให้ชีวิตเราดำเนินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มันยังช่วยให้เราลุกขึ้นจากการล้มเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
การออมยังคงเป็นสิ่งสำคัญมาเสมอ แต่หากมองตามความเป็นจริง การออมด้วยการฝากเงินแบบปกติอาจไม่ช่วยให้เงินงอกเงยเหมือนในอดีต (ในช่วง 20-30 ปีก่อนดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 17 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี)
ปัจจุบัน การฝากเงินไม่ได้ให้ดอกเบี้ยจำนวนมากอีกต่อไป ที่สำคัญเงินเฟ้อมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 3 เปอร์เซ็นต์ เพราะหากคุณไม่สามารถบริหารเงินให้มีการเติบโตมากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ ถึงแม้เงินในบัญชีออมทรัพย์จะมีตัวเลขมากขึ้น แต่คุณค่าของมันอาจลดลงตามวันเวลาที่ผ่านไป
‘การลงทุน’ และ ‘ความรู้ด้านการลงทุน’ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่เฉพาะคนที่มีจำนวนเงินเยอะอย่างที่เราเคยเข้าใจ การลงทุนช่วยทำให้เงินเรางอกเงย บรรลุตามเป้าหมายได้ ทำให้เงินออมที่เราเก็บสะสมไว้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
หลายท่านอาจจะรู้สึกว่า พอเป็นเรื่องการลงทุน มันก็มีเรื่องของความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วมันจะกลายเป็นการออม หรือเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับทุกคนได้อย่างไร?
ต้องขออธิบาย การลงทุนมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็แตกต่างกัน วันนี้ BrandThink เลยอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าด้วยเป้าหมายแบบนี้ ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบนี้ เราเหมาะกับการลงทุนในแบบไหนบ้าง
การวางแผนการเงินตามช่วงอายุ
การวางแผนการเงินตามช่วงอายุ (Generation Planning) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่เข้าใจง่าย และมีประสิทธิภาพ เพราะมันถูกวิเคราะห์มาจากช่วงชีวิตของตัวผู้ลงทุนเอง วันนี้เราจะมาลองวิเคราะห์กันในแต่ละ Gen ว่ามีลักษณะอย่างไร และเหมาะสมกับการวางแผนการออมและการลงทุนอย่างไรบ้าง
Gen Z หรือ New Gen : อายุไม่เกิน 23 ปี (ปีเกิดหลัง 2540 เป็นต้นไป)
เพิ่งเรียนจบ เพิ่งเริ่มทำงานมีรายได้ มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน ให้เริ่มออมเงินประมาณ 10-15% ของรายได้ อาจจะเริ่มจากการเปิดบัญชีเงินฝากประจำรายเดือน สร้างวินัยการออม และให้เริ่มศึกษาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เป็นการเตรียมตัว
Gen Y : อายุ 23 – 40 ปี (ปีเกิดระหว่าง 2523 – 2540)
มีรายได้มากขึ้น และก็เริ่มมีรายจ่ายมากขึ้นเช่นกัน เริ่มมองหารถ บ้าน ทรัพย์สินขนาดใหญ่ เริ่มมีสินเชื่อ บัตรเครดิต เริ่มมีภาระมากขึ้นโดยเฉพาะคนมีครอบครัว ให้มีเงินออมประมาณ 15-20% ของรายได้ แบ่งสัดส่วนเป็น สั้น:กลาง:ยาว ประมาณ 30:40:30 และผลิตภัณฑ์ที่ควรเริ่มมีคือ ประกันชีวิต ประกันบำนาญ ประกันสุขภาพ และการลงทุนในหุ้น/กองทุนรวมตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเอง และอย่าลืมจัดสรรเงินลงทุนเพื่อวางแผนเกษียณและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) หรือ กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
Gen X : อายุ 41 – 55 ปี (ปีเกิดระหว่าง 2508 – 2522)
รายได้เยอะ หนี้สินลด เป็นช่วงแห่งการเก็บเงิน ออมเงินให้ได้อย่างน้อย 20% ของรายได้ เงินออมอาจจะเพิ่มน้ำหนักไปที่การลงทุนระยะยาวมากขึ้นเพื่อวางแผนสำหรับช่วงการเกษียณ ยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น หรือกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงได้อยู่ และควรมองหาประกันสุขภาพเพิ่มเติมติดมือไว้บ้าง และลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอเพื่อเตรียมพร้อมการเกษียณ
Baby Boomer : อายุ 56 – 74 ปี (ปีเกิดระหว่าง 2489 – 2507)
เป็นช่วงวัยที่พร้อมเกษียณอายุ ต้องวางแผนสำหรับการไม่มีรายได้ช่วงหลังเกษียณ เริ่มเคลียร์หนี้/สินเชื่อให้หมด และไม่สร้างหนี้ระยะยาวเพิ่มเติม เงินออมและเงินลงทุนควรลงสัดส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงให้น้อยลง อาจจะเลือกสินทรัพย์ที่เน้นคุ้มครองเงินต้น มีสภาพคล่องที่ดี เช่นเงินฝากประจำ หุ้นกู้/พันธบัตรที่อายุไม่ยาวมาก และสินทรัพย์ที่สร้างรายได้สม่ำเสมออย่างหุ้นกู้ที่จ่ายดอกเบี้ยทุกไตรมาส หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม การวางแผนการเงินตามอายุ ก็เป็นเพียงกรอบและเทคนิคสำหรับการวางแผนการเงินเบื้องต้นเพื่อให้มองภาพรวมได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ดังนั้นในการจัดทำแผนการเงินส่วนบุคคล สิ่งสำคัญคือต้องวิเคราะห์สถานการณ์เงินของตัวเองก่อนว่าเรามีรายรับ รายจ่าย เงินเก็บ หนี้สิน เป็นอย่างไร แล้วจึงเลือกแผนการเงินที่เหมาะสมกับตนเอง การวางแผนการเงินจึงจะประสบความสำเร็จ
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ‘เป้าหมายของการลงทุน’ ของเราคืออะไร เพื่อออมเงิน หรือเพื่อทำให้เงินงอกเงย
‘ความเสี่ยงที่เรารับได้’ เรารับความเสี่ยงได้เท่าไหร่ เงินที่เราเอาไปลงทุนเป็นเงินร้อนเงินเย็นมากขนาดไหน เราพร้อมจะสูญเสียเงินก้อนนั้นหรือรับกับมูลค่าที่ลดลงได้มากน้อยแค่ไหน
‘ช่วงเวลา’ เราจำเป็นต้องใช้เงินนั้นในช่วงไหน เราจำเป็นต้องใช้ในอีกหนึ่งปี หรือมันเก็บการลงทุนเพื่อเงินในช่วงหลังเกษียณ
ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เราสามารถเลือกการลงทุนได้อย่างเหมาะสม และสามารถแบ่งสัดปันส่วนการลงทุนได้อย่างมีเหตุและผลมากขึ้น
โดยวันนี้ CIMB Preferred ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จะชวนทุกคนมาเปิดมุมมองการลงทุนกับนักลงทุนรุ่นใหม่ เริ่มต้นลงทุนจากสิ่งที่สนใจ แล้วค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ กับคุณ อาร์ต ศิวากร วัฒน์ประกายรัตน์ เป็นผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัท A. and Marine Thai ธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้าส่งออก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนเรือ
คุณอาร์ตแชร์ประสบการณ์ให้เราฟังว่า สำหรับการลงทุนแล้ว ต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลให้เยอะก่อนเป็นอันดับแรก ต้องดูปัจจัยของทั้งโลก ปัจจัยเศรษฐกิจ แต่แล้วแต่ด้วยว่า เป็นนักลงทุนแนวไหน ส่วนตัวผมดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ดูตัวเลข ดูอนาคต ความสามารถในการเติบโตของหุ้นหรือตราสารหนี้ตัวนั้นๆ
สิ่งที่คุณอาร์ตเน้นย้ำคือ ความแตกต่างของแต่ละคนในการแบกรับความเสี่ยง “ขึ้นอยู่กับว่า รับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาว่า ช่วงนั้นๆ เรามีเงินให้ลงทุนมากน้อยแค่ไหน ถ้าช่วงมีเงินหน่อย อาจเลือกลงทุนตราสารทุนเยอะหน่อย ที่อาจจะมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่มาพร้อมผลตอบแทนที่มากกว่า แล้วมองตลาดมองปัจจัยโลกด้วยว่าตอนนี้เศรษฐกิจตอนนี้เป็นอย่างไร Risk Aversion จะประมาณ 7 เต็ม 10 ซึ่งเป็นช่วงเวลาอาจจะไม่ได้แบกรับความเสี่ยงได้สูงนัก
Risk Aversion คือ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยบางครั้งจะมีจะมีระดับขั้นช่วยในการบอก โดยยิ่งตัวเลขน้อยก็จะยิ่งสามารถแบกรับความเสี่ยงได้สูงนั่นเอง
นอกเหนือจากนั้น คงไม่พ้นตัวช่วยต่างๆ ที่ทำให้การหาข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนเป็นเรื่องง่าย อย่างเขาเองมี RM หรือผู้ช่วย Wealth Advisory คอยดูแลเพราะบางครั้ง ไม่มีเวลา เลยต้องขอความช่วยเหลือจากทางฝั่ง Wealth Advisory ซึ่งปกติแล้ว จะสามารถตอบได้ว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่ชอบไหม หรือเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ชอบไหม ถ้ามีตัวไหนที่ผลตอบแทนดี เข้าทาง จึงค่อยตัดสินใจ คือเหมือนช่วยหาข้อมูล แทนที่จะไปหาอ่านเอง ยิ่งสำหรับบางคนที่ยุ่ง เพราะต้องทำงานประจำด้วย อาจไม่มีเวลามานั่งดูผลประกอบการ หรือดูข่าวที่มันสำคัญๆ ซึ่ง Wealth Advisory มีข้อมูลที่อัปเดตกว่า
ในส่วนของแนวทางในการลงทุน เขาเล่าให้ฟังต่อว่า “ถ้าเราไม่มีแนวทาง ไม่มี way อย่างแรกเลย คือ เรามีเงินไม่พอที่จะไปลงทุนในทุก industry แล้วหุ้นบางตัวถ้าเราไม่โฟกัส หรือไม่ได้อยู่ใน industry ที่เราชอบ มันทำให้ตัวเราเองจะไม่อยากไปค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม ข้อมูลเราอาจจะตื้น เราอาจจะไม่ทันคนที่เขาอยู่ในวงการ สู้เราไปโฟกัสให้ถูกจุด ไปอยู่ใน Industry ที่เราชอบดีกว่า ถ้าเป็น industry ที่เราชอบ เราจะไปขลุกอยู่กับมัน มีข้อมูล เดี๋ยวอาจจะมีลูกค้ามาบอก หรือ supplier มาบอก เราก็ได้ข้อมูลแน่นกว่า”
โดยในส่วนนี้คุณอาร์ตเอง มองผลตอบแทนเป็นหลัก แต่สำหรับผลตอบแทนบางส่วนก็นำกลับมาลงทุนต่อ บางส่วนเก็บไว้เผื่ออนาคต อาจยาวไปถึงเกษียณเลยก็มี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละปีด้วย
ซึ่งคุณอาร์ตเชื่อว่าการที่ธนาคารมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย มันตอบโจทย์หลักๆ เลยคือช่วยเรื่อง กระจายความเสี่ยง Portfolio Diversification ตราสารหนี้ ตราสารทุน พันธบัตร หุ้นกู้ ช่วงนี้มีการลงทุนทางเลือก อย่าง
Future หรือ Bitcoin ถ้าเราชอบ อาจจะทำให้มันหลากหลาย มันก็มีความท้าทายความตื่นเต้นมากขึ้น
สรุปคือ คุณอาร์ตมองว่า ความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุน ค่อยๆ เรียนรู้ไป อย่ารีบร้อน
ซึ่งข้อมูลและความรู้ต่างๆ เราสามารถให้ Wealth Advisory มาช่วยให้ข้อมูล หรือปรึกษากับทางฝั่งนี้ได้เต็มที่ แต่ Passion และความหลงใหลเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราชอบใน industry ไหนจริง เราจะมีความสนใจ อยากศึกษาข้อมูล ไม่เบื่อ มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ และอย่าลืมกระจายความเสี่ยงผ่านผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลายเอาไว้ด้วยนะ
“Know what you own, and know why you own it.”
— Peter Lynch
“รู้ว่าคุณถืออะไร และทำไมคุณถึงถือมัน” ถึงแม้จะเป็นวาทะระดับตำนานที่เกิดมาเพื่ออธิบายการลงทุนในหุ้น แต่ประโยคนี้ของ Peter Lynch นักลงทุนชื่อดัง ก็นับว่าอธิบายแนวคิดในการลงทุนรูปแบบอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี การลงทุนไม่ใช่การพนัน การทำการบ้าน การหาข้อมูล ก่อนการตัดสินใจ นับว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดก่อนที่คุณจะใช้เงินของคุณไปกับการลงทุนอะไรบางอย่าง ซึ่งเหตุผลเหล่านี้มักจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
แต่อย่างไรก็ตาม เราเข้าใจดีว่า ทุกท่านอาจจะไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างของโลกการลงทุนได้จากบทความนี้ เพราะฉะนั้นการมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญและเชื่อใจได้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
จะดีกว่าไหม ถ้าเรามีตัวช่วยที่เข้าใจในความแตกต่าง และเข้าใจว่าเป้าหมายทางการเงินของพวกเรานั้นแตกต่างกัน
อย่าง CIMB Preferred เอง จะช่วยให้คุณได้รับการบริการ ที่ปรึกษาด้านการลงทุนและคำแนะนำในแบบฉบับที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด พร้อมรับสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์ที่คุณสามารถเลือกได้
CIMB Preferred จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินลงทุนได้อย่างผู้เชี่ยวชาญ เพราะผู้ให้คำปรึกษาสามารถเข้าถึงคำแนะนำทางการเงิน ความเข้าใจ Portfolio การลงทุนของคุณเป็นอย่างดี และมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการในการลงุทน
นอกเหนือจากนั้น ยังรู้ว่าการลงทุนแบบไหนเหมาะสม จากการติดตามการลงทุนและการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์ของท่านเป็นระยะและให้คำแนะนำภายใต้สถานการณ์การลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้เราสามารถขยับตัวได้ทันเหตุการณ์ พร้อมการตัดสินใจที่เหมาะสม
โดยสมาชิก CIMB Preferred ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย สามารถขอรับคำปรึกษาด้านการลงทุนได้ผ่านออนไลน์ ด้วยบริการ SMART ADVISORY ผ่านศูนย์รับรองสมาชิก CIMB Preferred (Wealth Center) จำนวน 5 สาขา ได้แก่
- สีลม คอมเพล็กซ์
- เซ็นทรัล พลาซา แกรนด์ พระราม 9
- เซ็นทรัล พลาซา บางนา
- เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์
- เซ็นทรัล ลาดพร้าว
นอกจากนี้สมาชิกยังสามารถรับสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์ผ่านแอปพลิเคชัน myPreferered อีกด้วย สนใจสอบถามเพิ่มเติม