5 Min

ทำไมนโยบายลูกคนเดียวของจีนทำให้จีนกลายเป็น ‘สังคมคนโสด’?

5 Min
1080 Views
21 Jul 2022

ในสังคมยุคใหม่ แนวคิดว่าเป็นโสดมันผิดตรงไหน?’ แพร่หลายขึ้นมากในโลกตะวันตก การเป็นคนโสดแทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว คนโสดไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิต คนขาดคู่ครอง ฯลฯ อย่างไรก็ดีแนวคิดแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นไปในทุกที่บนโลก ในหลายๆ ประเทศ การยังไม่ได้แต่งงานเมื่ออายุเกินช่วงหนึ่งไปยังถือว่าเป็นภาวะผิดปกติที่ไม่พึงประสงค์มากๆ ไปจนถึงเป็นตราบาปทางสังคมเลยทีเดียว

และประเทศที่มีปัญหานี้หนักข้อสุดๆ ก็คือจีน

เพราะจีนเป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรเพศชายมากกว่าหญิงมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

แต่ทำไมประชากรผู้หญิงจีนถึงน้อยกว่าผู้ชายกันขนาดนั้น ทั้งๆ ที่การขยายตัวของประชากรมนุษย์ในภาวะธรรมชาติโดยทั่วๆ ไป สัดส่วนของผู้หญิงและผู้ชายจะเท่าๆ กัน

สาเหตุที่จีนมีปัญหานี้เริ่มมาจากปี 1979 เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีนมองว่า ความชะงักงันทางคุณภาพชีวิตของจีนนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการที่คนจีนมีลูกมากเกินไป (อันนี้คงไม่ต้องดูกันไกล ถ้าคุณเป็นคนจีนหรือคุณเคยเห็นครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน คุณก็คงจะเห็นว่าคนรุ่นก่อนๆ เขาไม่นิยมมีลูกกันแค่คนสองคน แต่จะมีสี่ห้าคนเป็นปกติ) ทำให้ประชากรขยายตัวเร็วเกินไป พัฒนาการทางเศรษฐกิจไปเร็วยังไงก็ไม่มีทางทันการขยายตัวของประชากร ดังนั้นกุญแจของการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยก็คือการจำกัดการพัฒนาประชากรด้วย

นี่จึงเป็นที่มาของนโยบายลูกคนเดียวของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งอธิบายง่ายๆ ก็คือ ทางพรรคจะให้ทุกๆ ครอบครัวมีลูกได้แค่คนเดียวเท่านั้น มีมากกว่าจะโดนค่าปรับแพงลิบลิ่ว และลูกคนที่สองก็จะไม่ได้สวัสดิการสังคมอะไรสารพัดแบบที่คนแรกได้รับ

นโยบายนี้ใช้มายาวนานต่อเนื่องมาถึงปี 2016 ที่จีนเริ่มเล็งเห็นว่าการเติบโตของประชากรมันน้อยเกินไปแล้ว ในอนาคตจะทำให้เกิดภาวะสังคมผู้สูงอายุซึ่งประชากรวัยทำงานไม่สมดุลกับประชากรวัยชราได้ ดังนั้นทางพรรคก็เลยเพิ่งเปลี่ยนจากนโยบายลูกคนเดียวมาเป็นนโยบายลูกสองคนในปี 2016 นี่เอง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ ก็คือ แค่เปลี่ยนจากให้คนจีนมีลูกคนเดียวได้ ไปเป็นมีลูกสองคนแทนเท่านั้นเอง

ปัญหาคือ นั่นดูจะสายไปเสียแล้ว เพราะนโยบายลูกคนเดียวดูจะส่งผลกระทบทางสังคมมากมาย ตั้งแต่ปัญหาคู่สามีภรรยาที่มีลูกคนเดียวแล้วลูกตาย ต้องอยู่กันสองคนตายายไปพร้อมๆ กับได้รับตราบาปทางสังคมอย่างหดหู่ แถมบางคนต้องเลี้ยงหลานต่อจากลูกที่ตายไปอีก ฯลฯ

ปัญหามีเยอะมาก แต่ในที่นี้เราจะมาโฟกัสแค่มิติของคนโสดกัน

นโยบายลูกคนเดียวอาจไม่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาคนโสดเท่าไร ถ้าสังคมจีนต้องการลูกผู้หญิงและลูกผู้ชายพอๆ กัน แต่ปัญหาคือ สังคมจีนนั้นแม้จะผ่านการปฏิวัติสังคมนิยม และปฏิวัติวัฒนธรรมมาแล้ว แนวความคิดดั้งเดิมของการอยากมีลูกชายเป็นผู้สืบสกุลก็ยังแข็งแรงอยู่ในยุคที่จีนมีนโยบายลูกคนเดียวดังนั้นผลคือ พ่อแม่คนจีนในยุคนโยบายลูกคนเดียวจำนวนไม่น้อยที่พบกับโควตามีลูกได้คนเดียว ก็อยากจะมีลูกชายมากกว่าลูกสาว นี่นำมาสู่ทั้งการทำแท้ง ไปจนถึงการละเลยลูกผู้หญิงเล็กๆ จนถึงชีวิตจำนวนมาก และท้ายที่สุดมันก็ทำให้เกิดความไม่สมดุลทางประชากรที่ว่ามานี้

ทุกวันนี้สัดส่วนประชากรชายและหญิงของคนรุ่นที่เกิดในยุคนโยบายลูกคนเดียวนั้นอยู่ราวๆ 6 ต่อ 5 หรือพูดง่ายๆ คือ คนในรุ่นนี้ ผู้ชาย 6 คนถ้าจะแต่งงานกับคนรุ่นเดียวกัน จะมี 1 คนที่จะหาผู้หญิงมาเป็นภรรยาไม่ได้ เพราะคนไม่พอ

ซึ่งนั่นก็จะไม่ใช่ปัญหาเลยถ้าสังคมจีนไม่มองว่าการไม่แต่งงานมันเป็นภาวะที่ผิดปกติของสังคม

ในภาษาจีนจะมีคำที่เพิ่งเกิดเร็วๆ นี้บนอินเทอร์เน็ตว่า 剩女 (อ่านว่า เฉิงหนี่) ถ้าจะแปลไทยก็คงคล้ายๆผู้หญิงขึ้นคานซึ่งในจีน จากการสำรวจผู้ชายโสดครึ่งหนึ่งคิดว่าผู้หญิงที่อายุเกิน 25 ปี แล้วยังไม่แต่งงานนี่ถือว่าขึ้นคานแล้ว ส่วนผู้หญิงโสดส่วนใหญ่จะคิดว่าต้องอายุเกิน 30 ปีแล้วยังไม่แต่งงานถึงจะจัดว่าขึ้นคาน ทั้งนี้อายุเฉลี่ยที่คนจีนจะแต่งงานก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นคนรุ่นไหน ซึ่งแม้จะต่างกันอยู่นิดหน่อย แต่มันจะอยู่ในช่วง 25-30 ปี

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนการขึ้นคานก็จัดเป็นปัญหาอยู่ดี

การคิดว่าการขึ้นคานเป็นปัญหานั้นสร้างปัญหาในหลายมิติมาก ประการแรก มันทำให้คู่รักชาวจีนจำนวนมากรีบแต่งงานอย่างเร่งรัดเกินไป ซึ่งผลคือทำให้อัตราการหย่าร้างสูงมากๆ ในกลุ่มคนที่เกิดในช่วงแรกของนโยบายลูกคนเดียวของจีน และสูงกว่าคนจีนทุกรุ่น

ประการต่อมา การที่ลูกไม่มีคู่ครองมันเป็นปัญหาระดับครอบครัวที่พ่อแม่เป็นกังวลมากๆ โดยเฉพาะพ่อแม่หัวเก่าหน่อยตามต่างจังหวัดของจีน ดังนั้นเวลาถึงช่วงเทศกาลที่ลูกๆ กลับบ้าน พ่อแม่หลายคนก็จะพยายามนัดบอดเพื่อหาคู่ให้ลูกแบบกึ่งๆ คลุมถุงชน ซึ่งผู้หญิงจำนวนมากมักไม่ชอบ ทำให้เกิดธุรกิจเช่าแฟนเพื่อไปพบหน้าพ่อแม่ตอนกลับบ้าน จะได้ไม่โดนพ่อแม่จับคลุมถุงชน

ซึ่งก็ต้องเน้นว่าปัญหาหาคู่ไม่ได้ในคนที่อยู่มณฑลที่ไม่เจริญเท่าไรของจีนนี่ยิ่งหนักข้อมากๆ เพราะผู้หญิงที่มีโอกาสก็จะเข้าไปทำงานในเมืองกันหมด ดังนั้นในหมู่บ้านห่างไกลก็จะเหลือผู้หญิงสาวอยู่น้อย และสัดส่วนของผู้ชายต่อผู้หญิงในหมู่คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านห่างไกลก็จะยิ่งเยอะไปกันใหญ่อีก ผลคือ ทางพ่อแม่ผู้หญิงจะยิ่งมองว่าลูกสาวของตนเป็นของล้ำค่า และเรียกค่าสินสอดแบบโหดมากๆ ในบางที่มีรายงานว่าค่าสินสอดเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 60 เท่าตัวหลังจากมีนโยบายลูกคนเดียวถึงปัจจุบัน ซึ่งในบางเคส ผู้หญิงที่กำลังท้องลูกของผู้ชายแล้วไปขอพ่อแม่แต่งงาน ฝ่ายชายสู้ค่าสินสอดไม่ไหว ทางครอบครัวผู้หญิงก็บังคับให้ผู้หญิงไปทำแท้งก็มี 

นี่ทำให้ผู้ชายยากจนชนบท คือกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงจะขึ้นคานยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก และคนเหล่านี้ก็มีปมด้อยทางสังคมมากๆ และความไม่ได้สัดส่วนทางประชากรนี้ก็ทำให้เกิดอุตสาหกรรมจัดหาภรรยาชาวต่างชาติเฟื่องฟูในชนบทของจีน ไม่ว่าภรรยาชาวต่างชาติที่ว่านั้นจะมาจาก เวียดนาม หรือเกาหลีเหนือ

อย่างไรก็ดี เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายๆ ว่าผู้หญิงจากชนบทที่ไปอยู่ในเมืองกันหมดแล้วจะทำให้คนที่อยู่ในเมืองมีอัตราส่วนประชากรสมดุล เพราะผู้หญิงจีนยุคใหม่ที่เป็นคนเมืองนั้นมีมาตรฐานสูงมาก เพราะยุคนี้ ผู้หญิงจีนไม่ได้ดูคู่ครองแค่ชาติตระกูล ฐานะทางเศรษฐกิจแบบคนรุ่นก่อนๆ เท่านั้น แต่พวกเธอส่วนใหญ่ในยุคนี้มองว่านิสัยใจคอและความเข้ากันได้ก็เป็นปัจจัยสำคัญ (ซึ่งจากการสำรวจ ในปัจจุบันผู้หญิงจีนปัจจุบันมองว่าคู่ครองของเธอควรจะมีเงินเดือนประมาณไม่น้อยกว่า 30,000 บาท) 

ซึ่งสถานะการเป็นของหายากของพวกเธอในยุคที่สังคมจีนมีผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชายก็ยิ่งสร้างอำนาจต่อรองให้พวกเธอสูงขึ้นไปอีก พวกเธอมีสิทธิ์จะเลือกผู้ชายยังไงก็ได้ ถ้าผู้ชายจีนแผ่นดินใหญ่ไม่เข้าท่า ไปหาใกล้ๆ อย่างผู้ชายฮ่องกงก็ยังมี ซึ่งในทัศนะของนักสตรีนิยมนี่เป็นการเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมายมหาศาลของสิทธิสตรีในสังคมที่ดั้งเดิมเหยียดผู้หญิงมากๆ อย่างสังคมจีน

แต่สำหรับผู้ชายจีนแผ่นดินใหญ่นี่เป็นเรื่องที่ชวนปวดกบาลมาก เพราะหากไม่แต่งงานก็เป็นตราบาปสังคม แต่หันไปทางไหนก็จะเจอแต่ผู้หญิงที่ข้อเรียกร้องสูงๆ พร้อมทั้งยืนยันสิทธิที่จะงี่เง่าได้ในระดับที่โหดมากๆ ระดับตบตีผู้ชายในที่สาธารณะได้เป็นปกติ (ดังที่เคยมีคลิปจำนวนไม่น้อยเปิดเผยออกมา)

ซึ่งทั้งหมดในทางปฏิบัติ ผู้หญิงจีนก็อาจจะได้ความเท่าเทียมทางเพศในหลายๆ มิติมากกว่าที่ผู้หญิงตะวันตกได้ด้วยซ้ำไป

อ้างอิง