6 Min

‘คนถูกโกงเงิน’ ไม่ใช่เพราะ ‘โลภ’ เสมอไป แต่เพราะ ‘ไว้ใจ’ คนที่เรารู้สึกดีและดูน่าเชื่อถือ

6 Min
2959 Views
26 Sep 2022

อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ

กลโกงของมิจฉาชีพที่มุ่งเอาเงินและทรัพย์สินของคนอื่นมีการปรับกลยุทธ์กันเรื่อยๆ ทำให้ผู้หลอกและผู้ถูกหลอกไม่เคยหมดไปจากโลก ส่วนกรณีของไทยที่กำลังเป็นกระแส มีคดีหลอกลงทุน FOREX-3D ซึ่งเป็นหุ้นทิพย์และก่อนหน้านี้ก็มีแชร์ลูกโซ่อื่นๆ ไปจนถึงการหลอกลงทุนกับผู้ประกาศตัวว่าเป็นคนดีจิตอาสาจนมีคนมองว่าผู้เสียหายส่วนใหญ่โลภมากและอยากรวยทางลัด แต่ข้อมูลจากสื่อตะวันตกบ่งชี้ว่าคนที่รวยอยู่แล้วและคนมีความรู้ก็ถูกหลอกได้เช่นกัน โดยมีสาเหตุจากความไว้ใจคนที่สนิทหรือคนที่ดูน่าเชื่อถือ ไปจนถึงความกลัวว่าจะเสียโอกาสการลงทุน


ก่อนหน้านี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เคยเตือนคนไทยให้ระวังการหลอกลวงประเภทต่างๆ เพราะแก๊งอาชญากรพยายามหาทางใหม่ๆ มาหลอกลวงคนอยู่เสมอ เช่น การหลอกปล่อยเงินกู้ออนไลน์พร้อมดอกเบี้ยโหด, หลอกให้เล่นพนันออนไลน์, หลอกให้รักแล้วขอให้โอนทรัพย์สิน, หลอกให้เปิดบัญชีม้าหรือบัญชีธนาคารที่จะถูกนำไปใช้ในการฟอกเงินหรือก่อเหตุหลอกลวงผู้อื่นไปจนถึงหลอกเอาภาพโป๊เปลือยมาแบล็คเมล์เจ้าของภาพอีกต่อหนึ่ง

ยิ่งถ้าดูข้อมูลงานวิจัยและผลสำรวจความเห็นที่เผยแพร่ในสื่อตะวันตก The Conversation และ Forbes ก็จะพบว่าปรากฏการณ์โกงในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แถมยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่ช่วยให้คนหลอกเอาเงินจากความไม่รู้ของคนอื่นได้ง่ายขึ้น เช่น ผู้สูงอายุมักถูกโกงเงินผ่านระบบออนไลน์หรือโทรศัพท์ที่หลอกลวงให้ทำตามขั้นตอนระบบดิจิทัล ขณะที่คนมีความรู้หรือคนที่มีฐานะดีอยู่แล้วเป็นจำนวนมากก็ถูกโกงจากการหลอกให้ลงทุนได้เช่นกัน

กรณีของไทย ผู้เสียหายในคดีหลอกลวงมากเป็นอันดับต้นๆ น่าจะหนีไม่พ้นการหลอกลงทุนเพราะแค่ไม่กี่คดีที่เกิดขึ้นช่วงหลังปี 2560 เป็นต้นมาก็มีเจ้าทุกข์หลายหมื่นคนเข้าไปแล้วและจากรายชื่อที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อก็จะเห็นได้ว่าคนที่ถูกหลอกมีหลากหลายกลุ่ม

The Conversation และ Forbes รายงานใกล้เคียงกันว่าเหตุผลทางจิตวิทยาที่ช่วยให้มิจฉาชีพหลอกเงินคนอื่นได้สำเร็จไม่ได้เกิดจากผู้ถูกหลอกโลภมากหรือไม่ฉลาดเพราะคนส่วนใหญ่ตัดสินใจลงทุนหลังจากได้รับการชักชวนจากคนรู้จักคนที่มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือหรือคนที่เข้ามาตีสนิทจนรู้สึกคุ้นเคย

ยิ่งถ้าคนที่เป็นนักลงทุนอยู่แล้วก็มักจะกลัวว่าตัวเองอาจเสียโอกาสอันดีไปจึงยอมลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่มีความรู้หรือไม่ถนัดและท้ายที่สุดก็ค้นพบว่าตัวเองถูกหลอก

สื่อตะวันตกยกตัวอย่างกรณี เบอร์นาร์ด แมดอฟ (Bernad Madoff) อดีตประธานตลาดหุ้น Nasdaq ที่ใช้ความน่าเชื่อถือและเส้นสายในหลายแวดวงของตัวเองหลอกคนจำนวนมากให้มาลงทุนในแชร์ลูกโซ่โดยบอกว่าเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นและธุรกิจอื่นๆ ที่มีแนวโน้มน่าสนใจ จนมีผู้เสียหายกว่า 4,800 ราย และเป็นคดีดังในปี 2008-2009 เพราะเหยื่อหลายรายก็เป็นนิติบุคคลอย่างธนาคารและสถาบันการเงินรวมถึงนักลงทุนที่เชี่ยวชาญในตลาดหุ้นอยู่แล้ว

นอกจากนี้ สื่อสังคมออนไลน์ก็กลายเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งให้นักต้มตุ๋นโชว์ภาพความร่ำรวยปลอมๆ ออกสู่สายตาคนจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น เพื่อให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือ ในขณะที่ทักษะความรู้ทางด้านการเงิน (financial literacy) ของคนในหลายประเทศกลับสวนทางกัน จึงไม่สามารถไปตรวจสอบความซับซ้อนของโครงข่ายการลงทุน (หรือหลอกลวง) เหล่านี้ด้วยตนเองได้

ถ้าย้อนกลับมาดูกรณีของประเทศไทย จะพบว่ากลโกงการหลอกลงทุนที่เห็นบ่อยคือการสัญญาว่าถ้าลงทุนแล้วจะได้รับผลตอบแทนสูงและผู้หลอกลวงมักจะอ้างถึงผู้ลงทุนคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงหรือเป็นบุคคลน่าเชื่อถือในสังคม ทั้งยังใช้วิธีชักชวนคนรู้จักให้มาลงทุนด้วยกัน

แม้กระทั่งสื่อมวลชนเองก็มีบทบาททั้งทางตรงและทางอ้อมในการรายงานข้อมูลตอกย้ำความร่ำรวยของคนเหล่านี้ เช่น การรายงานคอลเล็กชันรถหรูๆ และไลฟ์สไตล์ราคาแพง (แต่หลายทีก็หลงลืมที่จะตรวจสอบความเป็นมาว่าทรัพย์สินเหล่านี้โปร่งใสจริงหรือไม่) จนทำให้คนจำนวนมากในสังคมรู้สึกว่าพวกเขาเหล่านี้น่าเชื่อถือและยอมตัดสินใจลงทุนด้วย ซึ่งช่วงแรกผู้เสียหายมักจะได้ผลตอบแทนสูง แต่เหมือนเป็นเหยื่อล่อให้ถลำลึกลงทุนมากกว่าเดิม กว่าจะรู้ว่าเงินนั้นไม่มีอยู่จริงก็สายไปแล้ว

นอกจากนี้ คนถูกหลอกในไทยก็มีหลายแบบ เพราะมีทั้งมีคนที่ออกมาแจ้งความดำเนินคดีทันทีที่รู้ตัว และคนที่ยังเชื่อมั่นในตัวผู้โน้มน้าวให้ลงทุนจนออกมาปกป้องอย่างสุดจิตสุดใจในเวลาที่มีคนตั้งคำถามถึงความไม่ชอบมาพากล รวมถึงคนที่อายและไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงปล่อยให้เรื่องเงียบไป โดยไม่ได้ออกมาเตือนภัยคนในสังคม ประกอบกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องกำกับดูแลการลงทุนและการจับกุมผู้กระทำผิดก็ไม่ได้ครอบคลุมเพียงพอกับจำนวนคดีที่ผุดขึ้นมากมายเป็นดอกเห็ดด้วย

ปัจจัยหลายอย่างนี้ต่างก็มีส่วนให้คดีหลอกลวงยังเกิดซ้ำอยู่เรื่อยๆ แต่คงจะดีถ้าคดีเหล่านี้มีส่วนทำให้คนในสังคมได้เรียนรู้กลโกงไปด้วยกัน และช่วยกันสอดส่องไม่ให้เกิดซ้ำ เพราะคนที่ถูกโกงเป็นรายต่อไปอาจอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด

สังคมไทยเสียหายกันไปเท่าไหร่กับคดีหลอกลงทุน

หุ้นทิพย์หรือแชร์ลูกโซ่

กรณี FOREX-3D เป็นการหลอกลวงว่าจะเอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่ซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราซึ่งตั้งชื่อให้สอดคล้องกับตลาดหุ้น FOREX ที่มีอยู่จริง และโฆษณาชวนเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงในอัตราร้อยละ 60-80 ทำให้มีคนร่วมลงทุนและชักชวนคนอื่นมาลงทุนในแบบแม่ข่ายและลูกข่าย โดยมีอภิรักษ์ โกฎธิผู้บริหารเครือข่ายที่เป็นคนไทย เป็นจำเลยรายแรกที่ถูกจับกุมและดำเนินคดี แต่ก็มีคนที่หลบหนีไปต่างประเทศแล้ว และยังมีอีกหลายคนที่กำลังถูกหมายเรียกเพิ่มเติม ส่วนผู้เสียหายถูกประเมินว่ามีราว 50,000 คนทั่วประเทศ

การชวนลงทุนแบบนี้ไม่ต่างจากแชร์ลูกโซ่ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น #แชร์แม่มณี ซึ่งมีวันทนีย์ทิพย์ประเวช’​ หรือเดียร์ เน็ตไอดอลเป็นแม่ข่ายชักชวนคนมาลงทุน โดยอ้างว่าจะได้ผลตอบแทนกว่าร้อยละ 93 จากเงินลงทุน ทำให้มีผู้ถูกหลอกให้ลงทุนราว 3,800 คน และผู้ก่อเหตุถูกจับกุมในปี 2562 (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3BUbRsH)

อีกคดีคือ แชร์ลูกโซ่ #Storagecity ที่ผู้บริหาร ศุภสรร ด้วงชนะ และพรรคพวก หลอกให้คนมาลงทุนโดยอ้างว่าเป็นธุรกิจจัดเก็บข้อมูลระบบคลาวด์ มีผู้เสียหายราว 2,000 คน (ดูเพิ่มเติม https://bit.ly/3BAfMtl)  และกรณี #นัตตี้ยูทูบเบอร์ เน็ตไอดอลที่คนไทยรู้จักจากช่องยูทูบ Nutty’s Diary ที่มักจะพูดถึงเรื่องราวในแวดวงบันเทิงเกาหลีใต้ ชวนคนมาลงทุนเทรดหุ้น (ทิพย์) และภายหลังไม่จ่ายผลตอบแทน ทำให้มีผู้เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดี แต่นัตตี้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วช่วงเดือนสิงหาคม 2565 (ดูเพิ่มเติม https://bit.ly/3SnZASP

ขุดเหมืองคริปโทฯ P-Miner

การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล Cryptocurrency ไม่ใช่เรื่องใหม่สักเท่าไรแล้ว แต่ไทยเพิ่งมีกฎหมายเกี่ยวกับด้านนี้ออกมาได้ไม่กี่ปี และเกิดกรณีฉ้อโกงจากการหลอกให้ลงทุนกับการขุดเหมืองคริปโทฯ ซึ่งมีผู้เสียหายราว 500 คน เกี่ยวข้องกับบริษัท P-miner Cryptocurrency Group ซึ่งตอนแรกบริษัทอ้างว่าจะจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเป็นอัตราประมาณ 10-24 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ร่วมลงทุน แต่ก็ไม่ต่างจากกรณีแชร์ลูกโซ่ที่เกิดขึ้นมาก่อน เพราะกิติกร อินต๊ะหรือเป้ผู้บริหาร P-Miner มีข่าวว่าหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว (ดูเพิ่มเติม https://bit.ly/3dz2lBV)

ลงทุนกับคนดีจิตอาสา

ชื่อของประสิทธิ์ เจียวก๊กเคยถูกผูกโยงผ่านสื่อหลายสำนักในฐานะประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน และเคยเป็นผู้ร่วมอบรมในโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904’ ซึ่งเคลื่อนไหวต่อต้านกลุ่มผู้เรียกร้องการปฏิรูปการเมืองในไทย แต่เขาถูกแจ้งข้อหาหลอกลวงคนให้ลงทุนและฉ้อโกงเงินเมื่อปี 2564 ทำให้ภาพลักษณ์คนดีผู้มีความจงรักภักดีต่อชาติและสถาบันของเขาถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เพราะคนที่ประสิทธิ์และพรรคพวกชวนมาลงทุนในบริษัทต่างๆ ของเขาโดนโกงจนได้รับความเสียหายราว 205 คน เป็นเงินราว 300 ล้านบาท และมีคนมองว่าการตัดสินใจลงทุนอาจเพราะเชื่อใจความเป็นคนดีที่ประสิทธิ์แสดงตัว (ดูเพิ่มเติม https://bbc.in/3UpiJFJ)

ฟาร์มทิพย์ผงบักกุ๊ดเต๋

ช่วงปีที่ผ่านมา มีการชักชวนในสื่อสังคมออนไลน์ให้ผู้สนใจวิถีเกษตรร่วมลงทุนใน Turtle Farm ที่อ้างว่าเป็นการทำฟาร์มสารพัด ทั้งเห็ดเยื่อไผ่ กระท่อม กัญชา ไปจนถึงฟาร์มผึ้ง ซึ่งมีการเผยแพร่ภาพไร่สวนและคนที่ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนซึ่งดูเหมือนจับต้องได้ ทำให้มีผู้หลงเชื่อและติดต่อไปทำสัญญาเพื่อร่วมระดมทุนเป็นจำนวนมาก แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็รู้ว่าเงินที่บอกว่าจะได้เป็นการตอบแทนนั้นไม่มีจริงทำให้ตำรวจติดตามไปจับกุมผู้ก่อตั้งและผู้เกี่ยวข้องกับการลงทุน ซึ่งแม้จะไม่มีการเปิดเผยจำนวนผู้เสียหายที่ชัดเจน แต่ผู้ถูกจับกุมเคยมีประวัติหลอกลวงคนมาลงทุนแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว (ดูเพิ่มเติม https://bit.ly/3LvRhC0)

ส่วนอีกกรณีที่น่าสนใจ คือ คดีหลอกลงทุนผงน้ำซุปบักกุ๊ดเต๋สูตรอาหารตุ๋นยาจีนขึ้นชื่อ ซึ่งผู้เสียหายถูกหลอกเงินไปลงทุนราว 10 ล้านบาท แต่ผู้สินค้านั้นไม่มีอยู่จริง และผู้ก่อเหตุแอบอ้างว่าเป็นคนในครอบครัวของนายตำรวจใหญ่ ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อ แต่คดีนี้จบเร็วเพราะจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว (ดูเพิ่มเติม https://bit.ly/3xEiYTm)

อ้างอิง