*เปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญของภาพยนตร์
จดหมายดังกล่าวเป็นของหญิงลูกติดคนหนึ่งที่วอนขอให้ Dora เขียนถึงชายผู้เป็นพ่อ อย่างไรก็ตาม เธอไม่คิดว่าเด็กชายควรได้เจอกับเขา ในความคิดของเธอ ชายคนนั้นคงเป็นตาแก่ขี้เมาที่ทิ้งให้ลูกเมียต้องลำบาก คนประเภทไหนกันที่ทิ้งเมียให้เลี้ยงลูกเพียงลำพัง ว่าแล้วก็พลันทิ้งจดหมายลงในกองจดหมายที่ถูกอัดไว้ในลิ้นชักภายในบ้านของเธอ
Dora ทำงานรับจ้างเขียนจดหมายให้กับผู้สัญจรไปมาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ใน Central station ประเทศบราซิล ทุก ๆ วันจะมีผู้คนมากมายเรียงตัวกันมาเล่าเรื่องราวที่ต้องการจะส่งถึงผู้เป็นที่รักและคนรู้จัก ด้วยใจที่หวังว่าผู้รับจะได้รับข้อความเหล่านั้น แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือจดหมายเหล่านั้นไม่ได้มีจุดหมายปลายทางถึงผู้เป็นที่รักเลยสักนิด เพราะ Dora ไม่เคยส่งจดหมายให้พวกเขาเลย อันที่จริงหากกล่าวให้ถูกต้องคือเธอไม่คิดที่จะส่งจดหมายเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ
Dora ชอบที่จะตัดสินคน และเธอก็ตัดสินว่าจดหมายของคนเหล่านั้นไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร จดหมายบางฉบับถูกฉีกทิ้งและบางส่วนถูกยัดลงในลิ้นชักเก่าๆ แท้จริงแล้วเธอแค่ต้องการเงินจากเหล่าลูกค้านักสัญจรก็เท่านั้น หากจะกล่าวว่าเธอเป็นผู้มีอุปนิสัยไม่แย่แสต่อผู้ใดและมีรายได้จากการเอาเปรียบผู้อื่นก็ย่อมได้
เพียงแต่วันหนึ่งชีวิตของเธอก็ได้เปลี่ยนผันไป… เช่นเดียวกับทุกวัน Dora ปักหลักนั่งเขียนจดหมายใน Central Station หนึ่งในลูกค้าของเธอคือหญิงลูกติดคนเดิมที่เคยให้เธอเขียนจดหมายถึงพ่อของเด็กชาย เธอยังคงให้ Dora เขียนจดหมายที่มีเนื้อความตามเดิม แต่ต่างกันตรงที่ในวันนี้อุบัติเหตุได้เกิดขึ้นกับหล่อน หญิงผู้เป็นแม่โดนรถชน ส่งผลให้เด็กชายตัวน้อยกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องเร่ร่อนอยู่ในสถานีแห่งใหญ่
ถึงแม้ว่า Dora จะเป็นคนที่ห่างจากคำว่าเป็นผู้มีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น แต่เธอก็ไม่สามารถดูดายเด็กชายตัวน้อยที่กำพร้าแม่ได้ลง Dora อาสาให้เขาไปพักที่บ้าน และได้รู้ว่าเด็กชายมีนามว่า Josue เขาอายุเพียง 9 ขวบ ถึงแม้ว่าจะสูญเสียผู้เป็นแม่ไปแต่ Josue ก็ไม่ได้แสดงอาการฟูมฟาย เขาเรียบร้อยและพูดคุยกับ Dora ด้วยอาการปกติ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูจะไปด้วยกันได้ดี แต่แล้วเด็กชายก็พบกับลิ้นชักเก็บจดหมายของ Dora และพบความจริงที่ว่าเธอไม่เคยส่งจดหมายไปหาพ่อของเขาเลย
Josue รับไม่ได้กับการกระทำของ Dora จึงแสดงอาการดื้อรั้นออกมา เมื่อเกิดปัญหาขึ้น Dora จึงหาทางปัดความรับผิดชอบด้วยการพาเด็กชายไปขายให้กับตลาดมืดเพื่อแลกกับเงินค่าโทรทัศน์เครื่องใหม่ แต่ภายหลังเธอเกิดความรู้สึกผิดจึงตัดสินใจช่วยเหลือ Josue ให้ออกมาจากแหล่งอันตราย เมื่อเห็นว่าเด็กชายไร้หนทางจะไป แต่การอาศัยในบ้านของเธอก็นำมาซึ่งปัญหา และด้วยความดื้อรั้นของเด็กชายที่เอาแต่บอกว่าจะเจอพ่อให้ได้ก็ทำให้ Dora หนักใจมากขึ้น เธอจึงเสนอการแก้ปัญหาโดยการอาสาพาเด็กชายไปส่งที่ท่ารถพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งเพื่อให้เขาเริ่มต้นการเดินทางในการตามหาผู้เป็นพ่อ
แต่เสมือนว่าฟ้าเล่นตลกกับชีวิตของ Dora ด้วยเหตุการณ์บางอย่างทำให้เธอต้องออกเดินทางเพื่อหาพ่อที่แท้จริงของ Josue ให้พบไปพร้อม ๆ กับเขา การเดินทางของทั้งคู่จึงเริ่มต้นขึ้น การเดินทางที่จะเปลี่ยนชีวิตของ Dora ไปตลอดกาล
ชีวิตของ Dora นั้นมีหน้าที่หลักคือเป็นผู้ส่งจดหมาย การเขียนจดหมายต้องทำหน้าที่รับฟังเรื่องราวของผู้อื่น เขียนเรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นลงบนกระดาษ และนำส่งให้ผู้รับ
แต่ Dora ไม่ได้ทำหน้าที่ของเธออย่างถูกควร เธอเห็นเรื่องราวของพวกเขาเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญและถือเอาประโยชน์จากความไม่รู้ในการทำเงิน จดหมายเหล่านั้นไม่เคยถึงมือผู้รับ บ่งบอกว่าเธอไม่สามารถที่จะเป็นผู้ส่งจดหมายที่ดีได้
ก็เหมือนกับลักษณะอุปนิสัยของเธอ ในแต่ละวันเธอมีโอกาสได้เจอผู้คนมากมาย ได้ยินเรื่องราวของพวกเขาและทำความเข้าใจถึงแง่มุมความคิดต่าง ๆ ของมนุษย์ แต่ Dora ไม่เคยที่จะรับฟังพวกเขาอย่างแท้จริง เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นแค่ถ้อยคำที่ผ่านหูไป เหมือนกองจดหมายที่ถูกเธอเมินเฉยและทิ้งขว้าง เธอไม่สามารถที่จะเป็นคนที่เห็นใจผู้อื่นได้ เพราะเธอไม่ได้รับฟังคนอื่นด้วยความเข้าใจและอีกทั้งยังชอบตัดสินคนไปก่อน เช่นนี้จึงเท่ากับว่า “การที่เธอไม่สามารถทำหน้าที่ในการส่งจดหมาย หรือการที่เธอไม่สามารถเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ล้วนมากจากสาเหตุเดียวกัน คือการตัดสินผู้อื่น”
อย่างไรก็ตาม การออกเดินทางจากสถานี Central Station ที่มีคนพลุกพล่าน สู่ถนนทางตอนเหนือของริโอ ถนนที่มุ่งไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ในประเทศบราซิล ทำให้เธอได้เข้ามาอยู่ในอยู่ในโลกที่เล็กลง ตรงกันข้าม มันทำให้ใจของเธอเปิดกว้างขึ้น
Dora ต้องใช้เวลาร่วมกับ Josue แทบตลอดเวลา ทำให้เธอได้เห็นถึงความหวังที่ยิ่งใหญ่ของเด็กชายตัวน้อยชัดเจนขึ้น เขาไม่เคยเจอผู้เป็นพ่อและสูญเสียแม่อันเป็นที่รักไป แต่นั่นไม่ได้ทำให้ Josue จมจ่อมอยู่กับความโศกเศร้า กลับกัน Josue ลุกออกไปผจญโลกกว้างเพื่อทำตามความหวังของตัวเอง
เส้นทางการใช้ชีวิตของ Josue แตกต่างจาก Dora ยิ่งได้เห็นมุมมองและความมุ่งมั่นของเด็กชายก็ยิ่งทำให้เธอพบว่าอดีตที่แล้วมานั้นทำร้ายเธอมากแค่ไหน อาจจะเรียกได้ว่าชีวิตของเธอไม่ได้ต่างจากเด็กชายเท่าไหร่นัก Dora หนีออกจากบ้านตั้งแต่ยังเด็ก เธอห่างไกลพ่อเป็นระยะเวลานาน และเมื่อถึงคราได้กลับมาพบ พ่อแท้ ๆ กลับจำลูกสาวของตัวเองไม่ได้ ความเจ็บปวดทางอารมณ์สร้างบาดแผลต่อ Dora เป็นอย่างมาก อดีตที่ทำร้ายกำหนดให้เธอกลายเป็นคนที่ชิงชังต่อสิ่งรอบข้าง และตีกรอบความคิดขึ้นใหม่ว่าบางครั้งการได้ลืมก็ถือว่าเป็นประโยชน์ไม่น้อย
แต่เธอก็รู้ดีว่าการถูกลืมนั้นเจ็บปวดมากเพียงใด และต่อให้ตัวของเธอจะยินดีกับการที่จะลืมใครสักคนได้ เธอก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าการได้จดจำนั้นต่างหากที่สำคัญกว่า การจดจำใครสักคนและถูกจดจำด้วยเช่นกันคงเป็นหนึ่งในความรู้สึกที่วิเศษที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะประสบพบเจอ และเธอก็หวังว่าเด็กชายตัวน้อยจะไม่หมดหวังที่จะได้เจอพ่อ เขาจะไม่ใช่คนที่ถูกลืม
Josue ไม่ใช่ Dora และเขามีโอกาสจะได้จดจำเรื่องราวที่ดี
เมื่อถอดแว่นของตัวเองที่ตัดสินผู้อื่นออก เปลี่ยนมาสวมแว่นของผู้นั้นแทน ก็ทำให้ Dora เข้าใจและเห็นใจ Josue มากขึ้น เธอพาเขาไปยังจุดหมายปลายทางอันเป็นบ้านของผู้เป็นพ่อ Dora ทำให้ความหวังของ Josue เข้าใกล้กับความจริงขึ้นอีกขั้น และในฉากที่เธอใช้ความสามารถของตัวเองอ่านจดหมายของพ่อให้กับเด็กชายฟัง ก็เป็นเครื่องยื่นยันว่าเธอมีความสามารถมากพอที่จะผสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเด็กชายได้ เธอสามารถนำส่งจดหมายได้สำเร็จและได้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจที่บริสุทธิ์แท้จริง
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่การที่ Dora สามารถช่วยเหลือผู้อื่น เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เธอค้นพบตัวเอง เธอเข้าใจถึงข้อเสียของการที่เธอมีความคิดที่ชิงชังผู้อื่น และเปลี่ยนความคิดว่าเธอไม่สามารถที่จะตัดสินพวกเขา เพราะเธอไม่มีทางรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนต้องผ่านอะไรมาบ้าง เธอเกิดความคิดนี้ขึ้นภายหลังจากเจอเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างเมื่อเดินทางร่วมกับ Josue Dora โดนคนที่ไม่ได้รู้จักกันดีพอมาตัดสินก็ทำให้เธอเข้าใจความเสียใจและต้องมาพลาดโอกาสที่ดีไป (อย่างในฉากที่เธอโดนคนขับรถสิบล้อตัดสิน)
เมื่อ Dora เปลี่ยนความคิดของตัวเองได้ การได้มองผู้อื่นในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่มีความรู้สึก เข้าใจพวกเขาและได้ใช้ความสามารถของตัวเองในการช่วยเหลือก็นำมาซึ่งความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม เธอเข้าถึงความรู้สึกใหม่ และมันก็กลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับ Dora
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีตัวละครหลักเพียงไม่กี่ตัว แต่ก็สามารถทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของการเห็นใจผู้อื่น นักแสดงอย่าง Fernanda Montenegro ผู้รับบทเป็น Dora และ Vinicius de Oliveira ผู้รับบทเป็น Josue ก็แสดงบทบาทออกมาอย่างยอดเยี่ยม พวกเขาถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางที่ตัวละครค่อยๆพัฒนาทั้งด้านความคิดและอารมณ์ เราเข้าใจตัวละคร ร้องไห้ไปกับมันเพราะได้เห็นแง่มุมชีวิตและความคิดของพวกเขา จนถึงในตอนท้ายเรื่องก็ทำให้หลายต่อหลายคนที่รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้น้ำตาแตกทีเดียว
หากพิเคราะห์ดู การที่เราร้องไห้และมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าการเห็นอกเห็นใจนั้นเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ เราทุกคนล้วนมีส่วนของความคิดที่เข้าใจความเป็นเพื่อนมนุษย์ แต่อยู่ที่ว่าเราจะพัฒนาความรู้สึกส่วนนั้นมาใช้ร่วมกับผู้อื่นอย่างไรได้บ้าง บางทีหากสังคมที่ทุกคนมีความเห็นใจกันมากขึ้นก็อาจช่วยลดโอกาสของการทะเลาะวิวาทและช่วยจรรโลงจิตใจของคนในสังคมได้