3 Min

ครั้งแรกของประเทศไทย! กลุ่มคาราบาวเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ‘คาราบาว-ตะวันแดง’ พร้อมสู้ศึกส่วนแบ่งตลาดเบียร์ 2.6 แสนล้าน ด้วยมาตรฐานการผลิตระดับโลก

3 Min
120 Views
16 Nov 2023

ถือเป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ของวงการเบียร์ไทย เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ‘กลุ่มคาราบาว’ ได้สร้างตำนานบทใหม่ด้วยการเปิดตัวสองแบรนด์ล่าสุดอย่าง ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ ที่มาพร้อมกับเบียร์ 5 รสชาติสุดพรีเมียมจากประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 20 ปี และมาตรฐานการผลิตระดับ ‘โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง’ โรงเบียร์อันดับหนึ่งที่ครองใจคนรักเบียร์มานานกว่า 20 ปี

‘เสถียร เสถียรธรรมะ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคาราบาว ผู้มีประสบการณ์ในวงการตลาดเบียร์มามากกว่า 20 ปี ได้เปิดเผยกับสื่อว่า การเปิดตัว 2 แบรนด์นี้ ถือเป็นการทุ่มสรรพกำลังครั้งใหญ่สุดในรอบ 20 ปีของบริษัท ด้วยเงินลงทุนที่สูงถึง 4,000 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานผลิตเบียร์ที่จังหวัดชัยนาท ด้วยเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานโลกและการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศทั้งหมด ควบคู่ไปกับการปูพรมการตลาดแบบครบวงจร เพื่อให้แบรนด์เข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคทั่วประเทศให้เร็วที่สุด ทั้งยังตั้งเป้าให้แบรนด์เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลัก 1 ใน 3 ของการตลาดเบียร์ที่มีมูลค่าสูงถึง 2.6 แสนล้านบาท

โดยในการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ครั้งนี้มาพร้อมกับความพิเศษคือ มีการเปิดตัวเบียร์ใหม่ที่พร้อมกันถึง 5 รสชาติ ซึ่งไม่เคยมีแบรนด์ไหนในประเทศไทยเคยทำมาก่อน โดยประกอบด้วย 2 รสชาติจากแบรนด์ ‘คาราบาว’ ได้แก่ Lager Beer (เบียร์ลาเกอร์) และ Dunkel Beer (เบียร์ดุงเกล) และอีก 3 รสชาติจากแบรนด์ ‘ตะวันแดง’ ประกอบด้วย Weizen Beer (เบียร์ไวเซ่น) Rose Beer (เบียร์โรเซ่) และ IPA Beer (เบียร์ไอพีเอ) เพื่อมุ่งเน้นการผลิตเบียร์หลากหลายรูปแบบ โดยตั้งเป้าเจาะกลุ่มผู้บริโภคในทุกระดับ

นอกจากนี้กลุ่มคาราบาวยังเสริมทัพด้วย ‘4 ยุทธศาสตร์ การแข่งขันในตลาดเบียร์’ เพื่อทำให้แบรนด์ครองใจผู้บริโภคได้ในระยะเวลาสั้นที่สุด ได้แก่

– ยุทธศาสตร์ที่ 1 คือ ‘รสชาติของเบียร์’ ที่ทั้ง 2 แบรนด์จะมีกลิ่นและรสชาติใกล้เคียงกับเบียร์ที่ขายในโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ภายใต้มาตรฐานการผลิต ‘German Beer Purity Law’ จากเยอรมนี ที่ทำให้เบียร์สองแบรนด์นี้แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาด ด้วยหวังจะ ‘เซ็ตมาตรฐานใหม่’ ให้กับตลาดเบียร์ไทย รวมถึงเป็นการแสดงให้เห็นศักยภาพของระบบการผลิตจากโรงงานของกลุ่มคาราบาว ณ จังหวัดชัยนาท ที่มาพร้อมกับเครื่องจักรนำเข้าจากต่างประเทศ โดยหวังตอกย้ำความเป็น ‘สินค้าระดับโลก แบรนด์ระดับโลก’ (World Class Product, World Class Brand) ของคาราบาว

– ยุทธศาสตร์ที่ 2 ของแบรนด์ คือ ‘การแข่งขันในทุกตลาด’ ทั้ง เบียร์ระดับพรีเมียม สแตนดาร์ด และอีโคโนมี โดยแบรนด์ ‘คาราบาว’ จะจับตลาดกลุ่มอีโคโนมีและสแตนดาร์ด และแบรนด์ ‘ตะวันแดง’ จะอยู่ในกลุ่มพรีเมียม โดยทั้งหมดจะถูกนำเสนอในคอนเซ็ปต์เบียร์คุณภาพระดับโลก ในราคาที่ทุกคนจับต้องได้ เข้าถึงง่าย และครอบคลุมผู้บริโภคในทุกระดับ โดยนำประสบการณ์จากการดำเนินธุรกิจโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ไมโครบริวเวอรี่ (Microbrewery) ที่ได้สร้างชื่อเสียงด้วยรสชาติเบียร์ต้นตำรับฉบับเยอรมัน อันเป็นเอกลักษณ์ และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากว่า 20 ปี มาให้ผู้บริโภคทั่วประเทศได้ลิ้มลอง

– ยุทธศาสตร์ที่ 3 คือ ‘เบียร์กับบอล’ โดยหวังสร้างภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ที่มีความสมาร์ทและเป็นมิตรกับไลฟ์สไตล์ผ่านการตัดสินใจต่อสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันฟุตบอล ‘Carabao Cup’ ไปอีก 3 ปี กับ English Football League (EFL) ที่จากเดิมจะสิ้นสุดในปี 2024 เลื่อนไปเป็นปี 2027 เพื่อเป็นการสานต่อกลยุทธ์ ‘Sport Marketing’ ในระดับโลก

พร้อมกับเปิดตัวแคมเปญใหม่ ที่ ‘คาราบาว’ จะพาทุกคนไป ‘สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก ‘เชียร์บอล เชียร์บาว’ กับการชมฟุตบอล Carabao Cup ฤดูกาล 2023/24 ติดขอบสนาม ณ ประเทศอังกฤษ ในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยความมั่นใจว่าแคมเปญนี้จะสามารถสร้างกระแส และดึงให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้

– ยุทธศาสตร์ที่ 4 คือ ‘ช่องทางการกระจายสินค้า’ ที่ทางแบรนด์จะปูพรมจำหน่ายเบียร์ทั้ง 5 รสชาติ ในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ในเครือของกลุ่มคาราบาว อย่าง ‘ซีเจ มอร์’ ที่มีถึง 1,000 สาขา และ ‘ร้านถูกดี มีมาตรฐาน’ ที่มีอยู่มากกว่า 5,000 ร้านทั่วประเทศ รวมไปถึงหน่วยรถในศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 31 แห่ง ที่สามารถเข้าถึงร้านค้าปลีกทั่วประเทศ และช่องทางการกระจายสินค้าแบบโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชันนอลเทรด

แต่สิ่งที่พิเศษมากกว่านั้นคือ บริษัทได้จัดทัพปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าในเครือใหม่ทั้งหมด ด้วยการกระจายสินค้าสู่ ‘ตัวแทนจำหน่ายระดับอำเภอทั่วประเทศ’ เพื่อลดขั้นตอนการกระจายสินค้า และทำให้สินค้าสามารถเข้าถึงร้านค้าย่อยและผู้บริโภคในประเทศได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้บริโภคยังได้รับประสบการณ์การดื่มเบียร์สดใหม่ จากโรงงานมาตรฐานในระยะเวลาอันสั้น

นอกจากนี้ คุณเสถียรยังกล่าวเสริมกับสื่อว่า อีกจุดแข็งสำคัญที่จะทำให้เบียร์ทั้ง 2 แบรนด์ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี คือความแข็งแกร่งของ ‘คาราบาว’ ที่ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากแค่ในประเทศ แต่รวมไปถึงในระดับโลกที่แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างดี

โดยปัจจุบันทางแบรนด์ได้ส่งออกสินค้าไปยัง 42 ประเทศ ครอบคลุมทุกทวีป

ในขณะที่ ‘ตะวันแดง ไมโครบริวเวอรี่’ ก็ได้รับการยอมรับในฐานะโรงเบียร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย ที่ยืนอยู่มาได้เป็นระยะเวลากว่า 20 ปี จึงกล่าวได้ว่าการเข้ามาในตลาดของกลุ่มคาราบาวในครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดเบียร์ไทยที่เปลี่ยนไปจากเดิม ด้วยมาตรฐานใหม่ที่ทางแบรนด์กำลังจะสร้างขึ้น