“Never Stop Dreaming” คุยกับ ‘เจมส์ – ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ ว่าด้วยแพสชัน และการทำความฝันให้เป็นจริง
‘เจมส์’ ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ คือนักแสดงมากความสามารถ ผ่านการฝากบทบาทการแสดงที่โดดเด่นในผลงานอย่าง เลือดข้นคนจาง, ฉลาดเกมส์โกง และโฮมสเตย์ ก็เป็นข้อยืนยันที่ชัดเจนกับความสามารถของเขาในเรื่องนี้
ในขณะเดียวกัน เจมส์ก็ยังเป็นนายแบบ ศิลปิน และนักธุรกิจ แถมล่าสุดยังพบแพสชันในการทำอาหาร ภายใต้บทบาทที่หลากหลายนี่เอง ได้สะท้อนให้เห็นความพลุ่งพล่านที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาความฝันใหม่ๆ อยู่เสมอ
ในฐานะตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยหยุดฝัน เราเลยถือโอกาสชวนเจมส์คุยกันเรื่องตัวตนที่หลากหลายของเขา แพสชันในการทำตามความฝัน ไปจนถึงโปรเจกต์ล่าสุดที่เขาได้จับมือกับ Budweiser Club ในการออกแบบคอลเลกชันเสื้อผ้าที่เจมส์ภาคภูมิใจ
Never Stop Dreaming
เราอยากจะเริ่มต้นบทสนทนากับเจมส์จากความฝันล่าสุดของเขา ก่อนจะถอยย้อนกลับไปยังสู่บทบาทอื่นๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักอยู่แล้วของเขา
“ฝันใหม่มีได้ทุกวัน” คือแคมเปญล่าสุดที่เจมส์ได้ร่วมงานกับ Budweiser Club ซึ่งเขาเล่าว่า ชื่อของแคมเปญนี้อธิบายตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี
“ฝันใหม่มีได้ทุกวัน ประโยคนี้เลยจริงๆ นะ ซึ่งมันตรงกับเราที่ชอบลองอะไรใหม่ๆ และอยากทำอะไรให้สุด” เจมส์อธิบาย
แต่พ้นไปจากวิดีโอแคมเปญแล้ว ความเจ๋งอีกอย่างของแคมเปญนี้คือการที่ Budweiser Club ได้ชวนเจมส์มาร่วมออกแบบคอลเลกชันเสื้อผ้า ซึ่งเจมส์เล่าว่า เป็นอีกความฝันหนึ่งที่เขาเพิ่งจะมีโอกาสได้ลอง
“Budweiser Club มาบอกว่า เขามีโปรเจกต์เสื้อผ้าอยู่ด้วยนะ สนใจอยากจะมาลองทำกันไหม ด้วยความที่เราชอบแต่งตัวและอยากมีแบรนด์ของตัวเองอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำสักที ซึ่งพอโอกาสมันวิ่งเข้ามา เราก็ตอบตกลงทันที” เจมส์เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
โดยในคอลเลกชันนี้ เจมส์รับหน้าที่เป็น Co-designer ทำงานร่วมกับดีไซเนอร์อีกคนหนึ่ง โดยเขาได้คอยคุมไดเรกชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเภทวัสดุ ดีไซน์ ไปจนถึงดีเทลของเสื้อผ้า
“เราพยายามใส่ความเป็นตัวเองและผสานกับความเป็น Budweiser Club ซึ่งมันก็มาจากความชอบที่เรามีต่อเสื้อผ้าวินเทจนั่นแหละ เราชอบความ timeless ของมัน โดยเฉพาะพวกเสื้อวงและเสื้อทัวร์ ซึ่งดูคูลดี แล้วทีนี้พอ Budweiser Club เขามีสปอร์ตแจ็กเก็ตทรงคลาสสิกอยู่แล้ว เราก็เลยอยากจับสองสิ่งนี้มาคู่กันจนออกมาเป็นวินเทจแจ็กเก็ตที่มีกลิ่นของความร่วมสมัย แต่เลือกใช้ฟอนต์แบบวงร็อกกับคำว่า Never Stop Dreaming ส่วนลวดลายบนเสื้อก็มาจากแคมเปญในอดีตของ Budweiser Club ที่เราคิดว่า ไปด้วยกันกับความวินเทจได้เป็นอย่างดี”
ไอเท็มที่เจมส์ได้ออกแบบในคอลเลกชันนี้ประกอบด้วย เสื้อยืด, เสื้อแขนยาว, หมวก และสปอร์ตแจ็กเก็ต ซึ่งเจมส์ภูมิใจกับผลงานการออกแบบของเขาสุดๆ
“เราตั้งใจทำคอลเลกชันนี้มากๆ ใส่ใจทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นประเภทของผ้า จังหวะการวางฟอนต์ ไปจนถึงความลึกของหมวก เพราะเราอยากให้คอลเลกชันนี้ออกมาดี สวย สวมใส่ได้จริง ใส่แล้วเท่ ไม่เขิน แล้วเราก็หวังว่า เวลาที่ใครหยิบเสื้อของคอลเลกชันนี้ขึ้นมา ประโยค Never Stop Dreaming จะช่วยเตือนใจว่า ฝันใหม่มีได้ทุกวันจริงๆ”
ตลอดเวลาที่เล่าถึงคอลเลกชันนี้ เราสังเกตว่าน้ำเสียงของเจมส์ดูจะสนุกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเจมส์ก็ยืนยันว่า เขาภูมิใจและอยากให้ทุกคนได้สัมผัสคอลเลกชันนี้จริงๆ
“เราว่ามันจะ sold out (ยิ้ม) อย่างพ่อก็ทักมาว่าสวย หรือเพื่อนหลายคนก็ทักมาว่าอยากได้ ซึ่งเราว่ามันสวยนะ อีกอย่างคือ เราอยากจะเน้นย้ำคำว่า ‘Never Stop Dreaming’ แหละ เพราะฝันใหม่มีได้ทุกวันจริงๆ”
ความฝันของเด็กหนุ่ม
เจมส์ก็เป็นเหมือนหลายๆ คนที่มีความฝันหลากหลายมาตั้งแต่วัยเด็ก เขาเคยไปเรียนเทควันโด ไปเรียนเทนนิส และไปฝึกเล่นหมากรุก จนกระทั่ง ม.4 ความฝันของเจมส์ก็ค่อยๆ เป็นรูปธรรมขึ้น นั่นคือความฝันอยากเป็นวิศวกร
“เราเข้าเรียนในแผนวิทย์-คณิตฯ ของโรงเรียน ซึ่งความฝันของเด็กในแผนนี้ก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก ไม่เป็นหมอ ก็เป็นวิศวกร ซึ่งด้วยความที่พ่อของเราเป็นวิศวกรด้วย เราก็เลยฝันอยากจะประกอบอาชีพนี้” เจมส์อธิบาย
แต่กับใครที่เป็นแฟนคลับของเจมส์คงรู้ดีว่า เป็นช่วงมัธยมปลายนี่แหละที่เด็กหนุ่มผู้ฝันอยากจะเป็นวิศวกร อยู่ๆ ก็ได้แจ้งเกิดในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตามองจากซีรีส์ ‘Hormones วัยว้าวุ่น’ ซึ่งก็เป็นตอนที่เขาได้สัมผัสกับการเป็นนักแสดงอย่างจริงๆ จังๆ นี่เอง ที่ความฝันของเจมส์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ความฝันในครั้งนี้ดูจะอยู่กับเขายาวนานกว่าความฝัน ที่ผ่านๆ มา
เจมส์เล่าว่า “กระทั่งพอเราไปแคสต์ Hormones ความฝันของเราก็เริ่มเปลี่ยนไปสู่การเป็นนักแสดง” พอถามต่อว่า อะไรคือสาเหตุให้เขาเบนเข็มจากวิศวกรไปเป็นนักแสดง เจมส์ตอบด้วยรอยยิ้มกว้างว่า เพราะการแสดงมันสนุกยังไงล่ะ
“เพราะการแสดงมันสนุก ได้เงิน แล้วมันก็กลายเป็นอาชีพได้จริงๆ อย่างตอนเด็กๆ เราคิดว่า ทุกคนจะได้ทำสิ่งที่รักไปด้วยและได้เงินไปด้วย แต่ในความเป็นจริงมันยากมากเลยนะ แต่กลายเป็นว่า เราดันโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบและได้เงินด้วย เราเข้าใจคำว่าแพสชันก็ตอนนั้นแหละ”
สำหรับเจมส์ แพสชันคือ การที่เราอยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ดีมากๆ และอยากใช้พลังชีวิตเพื่อทำมันออกมาได้ดี ซึ่งการแสดงคือสิ่งที่สร้างความรู้สึกนี้ให้กับเขา
“เราเป็นเด็กที่อยู่กับอะไรไม่ค่อยได้นาน ทำๆ หยุดๆ ซึ่งกับการแสดงมันต่างออกไป เพราะเราไม่อยากหยุด อยากพัฒนาตัวเองต่อ อยากเก่งกว่านี้ อยากทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ”
ชายผู้สวมหลายบทบาท
แม้ว่าในหมวกใบหนึ่ง เจมส์คือนักแสดงผู้มากความสามารถ ทว่าควบคู่ไปด้วยกัน เจมส์ยังสวมหมวกใบอื่นๆ ซึ่งส่งให้ภาพจำของเขากลายเป็นชายหนุ่มที่เป็นที่รู้จักในหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง ศิลปิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแฟชันและการแต่งตัว
“คนมักจะจำเราเรื่องการแต่งตัว แต่จริงๆ เราไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแฟชั่นไอคอนหรอก เราแค่สนุกกับการแต่งตัวเท่านั้น เราชอบดูคนอื่นแต่งตัวและอยากแต่งตาม”
“เพียงแต่สิ่งที่คงจะทำให้คนจดจำเราในบทบาทนี้คงเป็นเพราะเรากล้าแต่งในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ค่อยใส่ เช่น เสื้อผ้าผู้หญิง ที่จริงๆ เราใส่เพราะเราตัวเล็ก ใส่เสื้อผ้าไซส์ผู้ชายไม่ได้ เพียงแต่คนก็เริ่มมองว่าเราแต่งตัวสนุก ซึ่งจะว่าไปมันก็รู้สึกดีนะที่การแต่งตัวของเราสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ได้”
ขณะเดียวกัน อีกบทบาทหนึ่งของเจมส์ที่เราเพิ่งจะได้เห็นกันไม่นานคือ การทำอาหาร ซึ่งเจมส์เล่าว่า เกิดขึ้นจากการที่เขาได้เข้าประกวดในรายการ MasterChef Thailand
“มันเริ่มจากที่เราไปรายการมาสเตอร์เชฟแหละ ซึ่งเราดูรายการนี้อยู่ก่อนแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าไม่น่ายากอะไร เราพอจะย่างเนื้อและผัดกะเพราได้ ทักษะแค่นี้ก็น่าจะพอ แล้วผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก็คงไม่ได้จริงจังอะไรหรอกมั้ง ดาราทั้งนั้น พอรายการติดต่อมาเราก็ตอบตกลงไปเพราะคิดว่าคงจะสนุกดี แต่พอวันแข่งเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เราก็เริ่มได้ยินว่า ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ เขาไปฝึกกับเชฟจริงๆ ตอนนั้นแหละเราถึงเริ่มรู้สึกว่า แม่งไม่ใช่เล่นๆ แล้วว่ะ (หัวเราะ)”
พอเห็นว่าคนอื่นจริงจังกัน เจมส์ก็เลยต้องไปเริ่มฝึกทักษะการทำอาหารกับเขาบ้าง ซึ่งเจมส์ก็ได้ให้เชฟพลอย (ณัฐณิชา บุญเลิศ) รุ่นพี่จากรายการมาสเตอร์เชฟช่วยถ่ายทอดวิชาทำอาหารให้กับเขา
“เชื่อไหมว่า วันแรกที่เราฝึก เรายังจับมีดผิดอยู่เลย เรียกว่าเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ ช่วงนั้นเราต้องเข้าครัว 4-5 วันต่อสัปดาห์ วันละหลายชั่วโมง ฝึกไปเรื่อยๆ เพราะอยากชนะ คือไปรายการแข่งขันน่ะ เชื่อเถอะว่าไม่มีใครอยากไปแล้วแพ้หรอก ยิ่งถ้าไปแล้วตกรอบแรกขึ้นมานี่เขินจัดเลยนะ (หัวเราะ)”
ทว่าการทำอาหารดูจะแตกต่างออกไปจากบทบาทอื่นๆ ที่เจมส์เคยได้ลอง เพราะแม้ว่าหลังจากที่รายการมาสเตอร์เชฟจบลงไป เจมส์กลับยังคงต้องมนตร์เสน่ห์ของการทำอาหาร และทุ่มเทกับมันอย่างจริงจัง ระหว่างที่สนทนากัน เราเห็นเด็กหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละสิ่งที่ทำด้วยพลังงานเต็มเปี่ยม เราอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า ภายใต้สารพัดบทบาทในชีวิตที่เขาทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่ เจมส์เคยรู้สึกเหนื่อยบ้างไหม
“เหนื่อยดิ” เจมส์ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหนื่อยแล้วทำไง” เราถามกลับไปทันที
“แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราชอบ เราจะมีแรงในการทำนะ เราอยากจะตื่นมาแล้วทำมันให้ดี แต่กลับกันถ้าเป็นสิ่งที่โดนบังคับให้ทำเมื่อไหร่ มันจะเบิร์นเอาท์ง่ายมาก แล้วพอรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา เราจะ give up ได้ง่ายๆ เลย”
“แล้วทุกวันนี้คุณจัดลำดับสิ่งที่ทำอยู่ยังไง” เราถามต่อเมื่อพิจารณาถึงบทบาทต่างๆ มากมายในชีวิตเขา
“การแสดงคือนัมเบอร์วัน อันดับสองน่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านแฟชันหรือการทำอาหาร”
แม้ทุกวันนี้ผู้คนจะรู้จักเจมส์ในหลายๆ บทบาท แต่เจมส์ก็ยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า เขาอยากนิยามตัวเองว่าเป็นนักแสดง
“เป็นนักแสดงครับ จริงๆ มันก็ไม่ได้แปลว่าคนเราต้องมีเพียงอาชีพเดียวหรอกนะ แต่สำหรับเรา การแสดงคือเมนหลัก
“ไม่กี่วันก่อนเราไปดูหนังเรื่อง Babylon แล้วไปเจอประโยคหนึ่งในหนัง ประมาณว่า ต่อให้วันนี้คุณอยู่ในวัยที่ตกยุคไปแล้ว ไม่ดังอีกแล้ว หรือกระทั่งตายจากไป แต่ถ้าอยู่มาวันหนึ่งมีเด็กๆ มาย้อนดูงานที่คุณเล่น เขาก็จะรู้สึกเชื่อมโยงกับคุณได้ การตายไม่ได้แปลว่าเราจะหายไป เพราะการแสดงจะทำให้เรายังอยู่ เราคิดว่านี่แหละคือเสน่ห์ของการแสดง” เจมส์ทิ้งท้าย
แม้ว่าเจมส์จะมีความฝันมากมายในชีวิต แต่เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ทุกๆ สิ่งที่ฝันล้วนเป็นความจริงได้ขอแค่ลงมือทำ ไม่สำคัญหรอกว่า ฝันของคุณจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงอย่าหยุดฝัน กล้าที่จะฝันในสิ่งใหม่ๆ แล้วมุ่งมั่นที่จะคว้ามันมาให้ได้ เพียงเท่านี้ทุกความฝันก็สามารถที่จะเป็นจริงได้แน่นอน