ขนมปัง เนย ไข่ดาว เบคอน ไส้กรอก อาหารเช้าสะท้อน “สังคมชาวนาฝรั่ง” ที่กินกันมาเป็น 1,000 ปี
เวลาไปเที่ยวเกือบทุกที่ในโลก ถ้าพักที่พักที่มีอาหารเช้า สิ่งที่เราน่าจะคาดหวังได้เลยว่าเขาจะมีให้เรากินแน่ๆ คือ ขนมปัง เนย ไข่ดาว เบคอน ไส้กรอก
คือมันมีทุกที่เป็นปกติจนเราแทบจะไม่สังเกตว่ามันพิเศษอะไร
แต่รู้มั้ยครับ ว่าอาหารชุดหรืออาหารที่เรียกว่าเป็น ‘อาหารเช้าระดับคลาสสิค’ ของคนตะวันตกที่กินกันมาเป็นพันปี เรียกได้ว่าฝังไปในรากวัฒนธรรมเลย มันเลยแพร่กระจายสุดๆ ในระดับสากล
และที่น่าสนใจคือ มันไม่ใช่อาหารหรูหราอะไรเลย แต่เป็น ‘อาหารคนจน’ ที่เกิดจากข้อจำกัดด้านอาหารในอดีต หรือพูดอีกแบบ อาหารชุดนี้มีลักษณะ ‘สะท้อนสังคมเกษตร’ ในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก เพราะมันมีที่มาจากสัตว์ที่เลี้ยงๆ กัน
ซึ่งก่อนอื่น เราต้องเข้าใจชีวิตชาวนาในโลกตะวันตกราวๆ พันปีก่อนกันก่อน
เมื่อพันปีก่อน ชาวนาในโลกตะวันตกแน่นอนว่ามีฐานะยากจนมาก เงินทองก็ไม่ค่อยมี อาหารการกินก็ต้องกินจากที่ตัวเองมีอยู่ในครัวเรือนเป็นหลัก ไปซื้อกินนี่ไม่ใช่เรื่องปกติ
คำถามคือแล้วพวกเขามีอะไรอยู่กับมือบ้าง?
อย่างแรก อาหารหลักที่ให้พลังงาน อันนี้พวกเขาได้จากการปลูกข้าวสาลีหรือข้าวบาร์เลย์ ซึ่งโดยทั่วไปมันจะถูกแปรรูปเป็นสองอย่าง คือขนมปังกับเบียร์ ซึ่งเวลาพูดถึงขนมปังกับเบียร์ มันไม่ใช่สิ่งที่หน้าตาเหมือนทุกวันนี้ ขนมปังมันไม่ใช่ขนมปังขาวเป็นแถวนิ่มๆ แบบทุกวันนี้ แต่จะเป็นขนมปังสีน้ำตาลกระด้างๆ และอบทีอบมาก้อนใหญ่ๆ เลย เรียกได้ว่าอบทีเป็น 10 กิโล กินกันไปครึ่งเดือนทั้งบ้านนี่ปกติมาก
ส่วนเบียร์ มันจะเป็นเบียร์แอลกอฮอล์ต่ำ รสติดหวาน และจะขุ่นๆ ข้นๆ ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ ตามประสาเบียร์ที่ต้มกันเองตามบ้าน ซึ่งเขาไม่ได้กินกันให้เมา แต่เขากินกันเพื่อให้ได้พลังงานในการทำงาน มันเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ เด็ก ผู้หญิงท้อง กินกันหมด มันไม่ใช่เหล้าเบียร์แบบที่เราเข้าใจในปัจจุบัน แต่มันคือข้าวในรูปแบบหนึ่ง ที่ถูกแปรรูปมาให้กินง่าย และเก็บได้นาน
พูดง่าๆ ทุกบ้านยังไงก็ต้องมีขนมปังกับเบียร์ เป็นแหล่งพลังงานหลัก ซึ่งนั่นไม่ต่างจากที่ชาวไทยอย่างเราหุงข้าวกิน
นี่คือที่มาของ ‘ขนมปัง’
ส่วนเนยมันก็มากับสัตว์ ที่อยู่คู่การเกษตรของมนุษย์มาช้านานอย่างวัว ซึ่งสมัยก่อนโน้น คนแทบไม่กินเนื้อวัวกัน เพราะมันสามารถใช้รีดนมมาทำเป็นเนยและชีสได้ ซึ่งก็ไม่แปลกเลยที่ชาวนาที่พอจะมีฐานะหน่อย จะต้องมีวัวไว้รีดนมสักตัว
นี่คือที่มาของ ‘เนย’
แต่ ณ ตรงนี้ ถ้าใครรู้ด้านโภชนาการบ้าง ก็คงจะพบว่ากินแค่นี้มันไม่พอสำหรับความต้องการของร่างกาย ที่ไม่ได้แค่ต้องการพลังงาน แต่ต้องการสิ่งอื่นๆ ด้วย ซึ่งพวกวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มันก็ได้จากผักที่ปลูกแบบพืชผักสวนครัวกินอยู่แล้ว (ปกติก็จะโยนๆ ต้มใส่หม้อใหญ่ๆ กลางบ้าน)
แต่คำถามคือพวกเขาเอา ‘โปรตีน’ มาจากไหน?
หลายๆ ที่ในโลก คนจนจะได้โปรตีนจากถั่วเป็นหลัก แต่คนยุโรปมีแหล่งโปรตีนที่ง่ายและอร่อยกว่านั้น นั่นคือจาก วัว ไก่และหมู ซึ่งเป็นสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยงกันมาหลายพันปีก่อนหน้านั้นแล้ว
ไก่กับหมูมีความเหมือนกันอย่างคือ มันเป็นแหล่งโปรตีนที่แทบจะฟรี เพราะมันล้วนเป็นสัตว์ที่ซื้อหาได้ในราคาถูก เลี้ยงง่าย แทบไม่ต้องมีพื้นที่และต้นทุนใดๆ มันล้วนกินของเหลือทางการเกษตรที่มนุษย์ไม่กินอยู่แล้ว
ไก่นี่สมัยก่อนคนไม่นิยมกินเนื้อ เพราะเลี้ยงไว้มันออกไข่ให้กินได้เรื่อยๆ ซึ่งถ้ารอไก่ฟักก็จะเป็นไก่ตัวใหม่ได้อีก วนกันไป อาหารก็โยนๆ พวกรำข้าวปลายข้าวที่มีอยู่แล้วให้กิน ดังนั้นแม้คนจะจนสุดๆ มีไก่ตัวเดียวมันก็จะออกไข่ให้กินได้เรื่อยๆ
นี่คือที่มาของ ‘ไข่’ สำหรับทำ ‘ไข่ดาว’
แล้ว ‘เบคอน’ กับ ‘ไส้กรอก’ ล่ะ?
คำตอบคือมาจากหมู ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดแรกๆ ที่มนุษย์เลี้ยงเพื่อกินเนื้อเท่านั้น ใช้งานอย่างอื่นไม่ได้ ประโยชน์คือเป็นอาหารเน้นๆ ซึ่งหมูได้รับหน้าที่นี้จากมนุษยชาติ ก็เพราะมันเป็นสัตว์ที่แทบไม่ต้องเลี้ยงอะไรเลย กินง่ายสุดๆ กินอะไรก็ได้ ของที่มนุษย์กินก็กินได้ ของที่มนุษย์ไม่กินก็กินได้
ตามขนบชาวนาในโลกตะวันตก จะซื้อลูกหมูมาในหน้าร้อน และก็เลี้ยงมันไปเรื่อยๆ (จริงๆ คือปล่อยมันไว้เฉยๆ เดี๋ยวมันหาอะไรกินของมันเอง) พอถึงหน้าหนาวก็กลายเป็นหมูอ้วนๆ ตัวเต็มวัยพร้อมให้เชือดกินแล้ว
พอเชือดหมู แน่นอนว่าก็จะมีเนื้อสดๆ กินวันนั้น แต่ปัญหาคือมันกินยังไงก็ไม่หมดหรอกครับ หมูตัวเบ้อเริ่ม สิ่งที่คนทำก็คือ เอาส่วนต่างๆ ของหมูมา ‘ถนอมอาหาร’ ซึ่งในทางปฏิบัติ ส่วนลำตัวที่เป็นเนื้อแบบหมูสามชั้น ก็จะเอามาทำเบคอน (ซึ่งคือการหมักเกลือ ตากแห้ง และรมควัน) ส่วนหัวกับเครื่องในที่ไม่ใช่เนื้อแบบเป็นชิ้นเป็นอัน ก็จะสับๆ เอาไปทำไส้กรอกให้หมด ซึ่งไส้กรอกจำนวนมาก ก็มักจะมีการใส่เกลือ และทำให้แห้งระดับเก็บได้นานเช่นกัน
ทีนี้อาจสงสัยว่า แล้วขาหมูหายไปไหน? คำตอบคือ ขาหมูคือส่วนที่แพงที่สุด คนจนมักจะไม่กินกัน แต่จะเอาไปขาย ซึ่งเงินที่ได้มาจากการขายส่วนขาหมู ก็มากพอที่จะซื้อลูกหมูได้อีกตัวเมื่อถึงหน้าร้อน
ในแง่นี้เราก็จะเห็นว่า ถ้าชาวนามีหมูตัวนึงแล้ว ชีวิตนี้เราก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อหมูอีก เชือดหมูที เอาขาหมูไปขายก็พอจะซื้อลูกหมูอีกตัว เลี้ยงใหม่วนกันไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด
และนี่แหละครับ การได้มาซึ่งขนมปัง เนย ไข่ดาว เบคอน และ ไส้กรอกของชาวนาฝรั่งสมัยก่อน จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ ล้วนเกิดจากพืชและสัตว์ที่ชาวนาเลี้ยงกันไว้ในไร่นาทั้งนั้นเลย
เมื่อเกิดจากองค์ประกอบพื้นฐาน ที่ครัวชาวนามีกันทุกบ้าน โต๊ะอาหารเช้าสมัยก่อนของชาวนาฝรั่งมันก็เลยมี ไข่ดาว เบคอน และไส้กรอก คู่กับขนมปัง และเนยมาเป็นพันปีตั้งแต่ยุคกลางเป็นอย่างน้อย
เรียกได้ว่า เขากินอาหารเช้าหน้าตาแบบที่เรากินๆ กันมายาวนานเป็นพันปี และนี่ก็เรียกได้ว่ามหัศจรรย์สุดๆ เพราะอาหารที่มนุษย์เรากินๆ กันทุกวันนี้ แทบจะทั้งหมด มันเกิดขึ้นใหม่ทั้งนั้น แค่อาหารที่กินกันทุกวันนี้ที่มีอายุ 200 ปีนี่คือยาวนานสุดๆ แล้ว แค่นั้นก็เป็น Rare Item ดังนั้นอะไรก็ตามที่มนุษย์กินมันอย่างเดิมมาเป็นพันปีเนี่ย เรียกได้เลยว่าไม่ธรรมดา เป็นระดับ Legendary Item
ซึ่งก็แน่นอนนะครับ ว่าการกินขนมปัง เนย ไข่ดาว เบคอน ไส้กรอก มันมีความต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น บางทีก็จะมีถั่วต้ม ผักย่างอะไรเสริมกันตามที่ปลูกกันตามครัวเรือน ตามท้องถิ่นก็ว่าไป แต่เมนที่ทุกที่มีร่วมกันคือ ขนมปัง เนย ไข่ดาว เบคอน และไส้กรอกนี่แหละ
ซึ่งก็เนื่องจากองค์ประกอบของอาหารเช้าแบบนี้ มันชัดมากในสังคมอังกฤษและอเมริกันมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน (ชาติตะวันตกหลายชาติก็เคยกินกันแบบนี้ แต่ต่อๆ มาอาหารเช้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนหน้าตาไป และน่าจะมีแค่สองชาติหลักๆ ที่กินอาหารเช้าแบบสังคมเกษตรดั้งเดิมนี้ยาวมาถึงศตวรรษที่ 21) และเนื่องจากสองชาตินี้เป็นชาติที่ทรงอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในโลกช่วง 200 ปีที่ผ่านมา อาหารเช้าสไตล์สองชาตินี้อย่าง ‘ขนมปัง เนย ไข่ดาว เบคอน และไส้กรอก’ ก็เลยกลายเป็นวัฒนธรรมสากล ที่ปรากฏในทุกโรงแรมทั่วโลกทุกวันนี้