“I Am Home เพราะฉันคือ ‘บ้าน’ หลังนี้” รูมทัวร์ชีวิต ความคิด ความทรงจำ ใน ‘บ้านหลังแรก’ ของ BOWKYLION

15 Min
140 Views
17 May 2025

‘บ้าน’ แต่ละหลังไม่ได้เป็นแค่ที่พักอาศัย และสำหรับ โบกี้ไลอ้อน เองก็เช่นกัน

บ้านหลังนี้จึงไม่ใช่แค่ ‘บ้านหลังแรก’ ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรง หลังจากที่ใช้เวลาทั้งชีวิตเติบโตมากับบ้านเช่าและพื้นที่ที่ตัวเองไม่เคยครอบครองเป็นเจ้าของ แต่มันคือสถานที่ที่หล่อเลี้ยงความคิด ความรัก ความทรงจำ และบทเพลงที่ทุกคนคุ้นหู

ครั้งนี้ ‘โบกี้ไลอ้อน’ (BOWKYLION)  หรือ ‘ณิชชาฎา วีระสุทธิมาศ’  ศิลปินหญิงเจ้าของบทเพลงที่คนทั้งประเทศร้องตามได้ เปิดบ้านให้ BrandThink เข้าไปพูดคุยเป็นที่แรก และพาสำรวจความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ตัวตน’ กับ ‘พื้นที่’ ระหว่างชีวิตประจำวันกับแรงบันดาลใจ ระหว่างของบางชิ้นที่เธอรัก กับบางอย่างที่เธอไม่เคยเลือกได้ และระหว่างความเรียบง่ายของการอยู่บ้าน กับบทเพลงที่คนทั้งประเทศร้องตาม

นี่ไม่ใช่แค่บทสนทนา แต่คือ ‘รูมทัวร์’ ตัวตนทั้งชีวิตที่จะพาเราไปรู้จักผู้หญิงคนนี้ผ่านพื้นที่เล็กๆ ที่เรียกว่า ‘บ้าน’

[ก่อนไขเข้ารั้วประตูบ้าน]

“ตั้งแต่เกิดมา…เราไม่เคยมีบ้านที่เป็นของตัวเองจริงๆ สักครั้งเลยค่ะ

“ตอนเด็กๆ ไม่มีแม้แต่เงินซื้อ ‘มุ้งลวด’ ไว้กันยุง แต่วันนี้…หน้าต่างทุกบาน พื้นไม้ ชานบ้านที่ต่อเติม มาจากเงินทุกบาทที่เราหามาด้วยตัวเอง”

คำตอบเรียบง่ายแต่กลับฉายภาพชีวิตและความรู้สึกของคนที่โตมากับคำว่าอยู่ชั่วคราว’ ชัดเจน เพราะในขณะที่ใครหลายคนเติบโตพร้อมกับ ‘บ้าน’ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาตั้งแต่จำความได้ แต่สำหรับโบกี้ไลอ้อนนั้นกลับต่างออกไป

“จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสได้มีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยกล้าฝันอะไรที่มันเกินตัวค่ะ ตั้งแต่ลำบากมา ก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมี ‘บ้าน’ สักวันหนึ่ง”

โบกี้ไลอ้อนไม่เคยฝันไกล ไม่ใช่เพราะไม่อยากมี แต่เพราะเธอเติบโตมาในโลกที่คำว่า ‘บ้าน’ ดูไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง เหมือนสิ่งที่มีไว้สำหรับคนอื่นที่เกิดมาพร้อมความมั่นคง มีวันพรุ่งนี้ที่ไม่เลื่อนลอย ขณะที่เธอเอง เติบโตมากับพื้นที่ที่ต้องขอเช่า แม้แต่บ้านสักหลัง คนในครอบครัวก็ไม่เคยได้เป็นเจ้าของสักครั้งเดียว รวมถึงอนาคตที่ไม่เคยชัดเจนพอจะฝันถึงอะไรได้อย่างมั่นใจ

เหมือนกับเส้นทางในชีวิตที่เธอเดินอยู่ตอนนี้ การเป็นนักร้องมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ไม่ใช่ฝันที่โบกี้ไลอ้อนเคยกล้านึกถึง เธอไม่เคยจินตนาการภาพตัวเองยืนบนเวทีหรือร้องเพลงให้ใครฟัง แต่เสียงเพลงและดนตรีนั้นเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่มีในชีวิต…เพื่อช่วยให้ตัวเองอยู่ให้รอดไปวันๆ

แม้บ้านในฝันจะไม่เคยกล้าฝัน แต่โบกี้ไลอ้อนก็ยังอยากมีบ้านสักหลังและไม่ขออะไรมากไปกว่า…บ้านหลังเล็กๆ ที่มีโถงโล่งสักนิดให้หายใจได้สะดวก ห้องน้ำใหญ่พอให้ยืนเฉยๆ แล้วรู้สึกไม่อึดอัด และมีสนามเล็กๆ ให้หมาได้วิ่งไล่แดด

จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อน โบกี้ไลอ้อนได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่เธอซื้อด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง บ้านหลังนี้…ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โต และอาจดูไม่ต่างจากบ้านหลังอื่นในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับเธอเอง…มันกลับแตกต่างตั้งแต่ความรู้สึกแรกที่ก้าวเท้าเข้าไป

“วันแรกที่ก้าวเข้ามาในรั้วบ้าน มันรู้สึกต่างกับบ้านทุกหลังที่ผ่านมาในชีวิตเลยค่ะ เพราะที่นี่คือ ‘บ้านของเรา’ จริงๆ”

[อยากมีพื้นที่กว้างๆ ให้เจ้าสี่ขาได้วิ่งเล่น]

“หมาชอบเลี้ยงเรา”

โบกี้ไลอ้อนพูดประโยคนี้พร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเล่าถึงความผูกพันที่มีต่อน้องหมาในชีวิต เธอบอกว่าหมาคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ชีวิตเดินต่อ เหมือนเราไปกุมความฝันเล็กๆ ของเขาไว้ แล้วเขาก็รอคอยเราอยู่หน้าประตูบ้านทุกวัน เหนื่อยแค่ไหน แค่เห็นหมารออยู่ ก็เหมือนมีใครสักคนที่ยังเชื่อในตัวเราเสมอ

ย้อนกลับไปเมื่อโบกี้ไลอ้อนตัดสินใจเลี้ยงหมาอย่างจริงจังครั้งแรกตอนเรียนมหาวิทยาลัย เวลานั้นเป็นช่วงเดียวกับที่แม่ของเธอได้จากไป ทำให้รู้สึกว่าโลกทั้งใบเหลือแค่ตัวเธอเอง จึงตัดสินใจเลี้ยงหมาไว้เป็นแรงผลักดันให้ใช้ชีวิตต่อไป และ ‘หมี’ ปอมเมอเรเนียนสีขาว ที่อยู่ด้วยกันมา 11 ปีแล้ว คือ ‘หมาตัวแรก’ ในชีวิต และกลายเป็นสมาชิกครอบครัวที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งด้วย

หมีเป็นหมาขี้อ้อน อ่อนโยน เรียบร้อย และติดคนมาก โบกี้ไลอ้อนเล่าว่าทุกครั้งที่เธอขยับตัวตอนกลางคืน หมีจะลุกขึ้นเพื่อดูว่าจะลุกไปไหนตลอด

“เขาไม่เคยตัดสินเราเลยว่าเราทำอะไรมา หรือว่าเพลงเราเพราะไหม เขาแค่รักเราที่เราเป็นเรา”

หมีอยู่ตัวคนเดียวได้และมักนอนรอโบกี้ไลอ้อนกลับมาเสมอ ตั้งแต่ออกไปเรียนหนังสือจนไปทำงาน การมีหมีอยู่ข้างๆ ทำให้เธอรู้สึกว่าเหมือนมีคนในครอบครัวอยู่ด้วยทุกครั้ง

จนกระทั่งวันหนึ่งที่โบกี้ไลอ้อนต้องออกไปทำงานข้างนอกและหมีกระโดดเข้ากระเป๋าใบเดิมที่เธอมักจะพาเขาออกไปเที่ยว ตอนนั้นไม่มีเวลาอธิบายอะไรกับหมีมากนัก แค่พูดสั้นๆ กับหมีแค่ว่า “เดี๋ยวมา” แล้วออกไปทำงานเที่ยงถึงเที่ยงคืน

เมื่อโบกี้ไลอ้อนมาย้อนดูฟุตเทจจากกล้องวงจรปิดที่ติดเอาไว้เพื่อดูเจ้าหมี ก็พบว่าวันนั้นหมีนั่งรออยู่ในกระเป๋าที่เขาเคยอยู่ตอนเวลาไปเที่ยวด้วยกัน ตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน ไม่ไปไหนเลย และรออยู่อย่างนั้นทั้งวัน

“วันนั้นรู้เลยว่า…ต่อให้เราเจออะไรมาทั้งวัน จะเหนื่อย เครียด โดนกดดันแค่ไหน แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่ตัวหนึ่งที่รอเรากลับบ้านด้วยใจบริสุทธิ์จริงๆ

“หมีไม่เคยหวังอะไรเลย หวังแค่ว่าเราจะกลับมา” 

แม้ตอนนี้โบกี้ไลอ้อนจะมีสมาชิกในบ้านมากขึ้น ทั้ง ‘ปลาทู’ ชิบะที่เพิ่มเข้ามาในบ้านในภายหลัง และ ‘ยุงลาย’ สุนัขตัวล่าสุด แต่ความสัมพันธ์กับหมียังคงแน่นแฟ้น เพราะหมีคือหมาที่เธอตั้งใจเลี้ยงเองทุกขั้นตอน ศึกษาทุกทฤษฎีเพื่อเลี้ยงหมีให้ดีที่สุด เธอไม่เคยให้หมากินอาหารคนเลยแม้แต่คำเดียว ใส่ใจสุขภาพอย่างจริงจังจนคุณหมอตรวจสุขภาพยังชมว่าค่าตับ ค่าไต ทุกอย่างยังสมบูรณ์แม้อายุ 11 ปีเข้าไปแล้ว

เมื่อถามถึงของชิ้นแรกที่เคยซื้อให้หมี โบกี้ไลอ้อนตอบพร้อมหัวเราะเบาๆ ว่า “น่าจะเป็นปลอกคอค่ะ ปลอกคอธรรมดาๆ นี่แหละ ซื้อให้ตั้งแต่เขายังเด็กๆ แล้วก็โตมาใส่ไม่ได้ (หัวเราะ) เพราะว่าอ้วน”

เสี้ยวเล็กๆ ของความทรงจำที่อบอุ่นระหว่างโบกี้ไลอ้อนกับหมี จากชีวิตนักศึกษาที่ต้องเช่าหอ สู่ความฝันที่อยากให้หมามีพื้นที่วิ่งเล่น ไปจนถึงของชิ้นแรกที่ไม่ได้มีราคาแพง แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจและความรักในวันแรกของการเลี้ยงดูชีวิตเล็กๆ หนึ่งชีวิต

[แวะข้างๆ ถังขยะ…ที่ไม่มีใครอยากนั่ง]

หากมองจากภาพลักษณ์ของโบกี้ไลอ้อน หลายคนอาจไม่คาดคิดว่าเบื้องหลังศิลปินผู้อยู่ท่ามกลางสปอตไลต์บนเวทีนั้น ก็มีมุมโปรดเล็กๆ แสนเงียบสงบในบ้านที่เธอรัก และใช้เป็นพื้นที่ฮีลใจในเวลาเดียวกัน

“จริงๆ ทุกมุมของบ้านคือมุมโปรดเลยค่ะ” โบกี้ไลอ้อนตอบติดตลก ก่อนจะยอมเปิดเผยถึงหนึ่งในมุมลับที่เธอชอบที่สุดอยู่ในครัว…ข้างๆ ถังขยะ

ฟังดูแปลก ใช่—และโบกี้ไลอ้อนก็รู้ว่ามันแปลก

ทั้งที่ในบ้านก็มีแอร์ โซฟา ทีวี โต๊ะอาหาร และมุมพักผ่อนสบายๆ เต็มไปหมด แต่โบกี้ไลอ้อนกลับเลือกที่จะใช้เวลาที่จะอยู่คนเดียวในห้องครัวที่ไม่มีแอร์ นั่งกับพื้น ติดกับถังขยะ บางทีก็ใส่ชุดคลุมอาบน้ำ นั่งกดโทรศัพท์เลื่อนฟีดเงียบๆ ข้าวก็ไม่กิน ทีวีก็ไม่ดู ปิดประตูอยู่คนเดียวแบบนั้นทั้งวัน

“ข้างๆ ถังขยะตรงนี้ ไม่มีคนอื่นอยากเข้ามานั่งหรอก ทั้งร้อนและไม่สะอาดเท่าไหร่ แต่เราเข้าไปแล้วรู้สึกโอเคนะ มันสงบดี เหมือนได้หลบจากทุกอย่าง”

เพราะบางครั้งมุมที่ไม่มีใครสนใจ ทั้งเงียบ ร้อน และมีกลิ่นขยะที่คนอื่นอยากหลีกให้ไกล

กลับกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยในวันที่เธออยากอยู่กับตัวเอง หลายคนอาจมองว่าดูตลก บางครั้งก็ดูแปลก แต่นี่แหละ…มุมเล็กๆ ที่ไม่มีใครอยากนั่ง แต่โบกี้ไลอ้อนกลับเลือกจะนั่งตรงนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนร่างกายจำได้ว่า ความสงบเล็กๆ ของเธอ…อยู่ที่พื้นกระเบื้องข้างถังขยะตรงมุมครัว

ไม่ใช่แค่เรื่องประหลาดของ ‘มุมโปรด’ เท่านั้น เพราะก่อนที่โบกี้ไลอ้อนจะเอาโซฟานุ่มๆ หรือเตียงนอนเข้ามาไว้ในบ้าน สิ่งแรกที่เธอซื้อเข้ามา…คือ ‘แมลงสาบปลอม’

“ฟังดูอุบาทว์เนอะ (หัวเราะ) แต่ของชิ้นแรกที่เข้าบ้านคือแมลงสาบปลอมค่ะ ตัวใหญ่มาก กระดิกหนวดได้ เพื่อนซื้อให้วันเกิด”

โบกี้ไลอ้อนกลัวแมงสาบสุดชีวิต แต่กลับเอามันเข้าบ้านเป็นอย่างแรก ด้วยเหตุผลว่า “บ้านนี้จะได้ไม่มีแมลงสาบจริงๆ ไง เพราะตัวนี้มันใหญ่กว่า ใครจะกล้าเข้า”

จินตนาการตามอาจดูประหลาด แต่หากเธอเล่าให้ฟังแล้วว่ามุมโปรดคือที่นั่งข้างถังขยะ ก็คงไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายไปมากกว่านี้แล้ว

“ตอนนั้นยังไม่มีเตียง ไม่มีโซฟา มีแค่แมลงสาบปลอม และ ‘โคมไฟ’ อีกอันที่ซื้อมาเพราะอยากให้แสงแรกของบ้าน เป็นแสงที่เราหามาด้วยตัวเองจริงๆ เวลาเห็นแสงสว่างแล้วนึกถึงความพยายามของตัวเอง”

[ในห้องนี้มี ‘ความลับ’ ซ่อนอยู่]

ก่อนที่ภาพโบกี้ไลอ้อนนั่งข้างถังขยะจะกลายเป็นมีมประจำบ้าน และเรื่องแมลงสาบปลอมจะตลกไปกว่านี้ เจ้าของบ้านพาเดินอ้อมออกจากมุมครัว ผ่านห้องนั่งเล่น แล้วเลี้ยวเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งพร้อมกับเรื่องราวที่หากจะต้องติดป้ายหน้าห้องไว้ ก็คงต้องเขียนว่า…โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เพราะเรื่องราวที่อยู่ข้างในห้องนี้ไม่ใช่แค่เพียงไพ่ยิปซีหลากสำรับ แต่เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เต็มไปด้วยพลังงานลึกลับ ความเชื่อ และประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่อธิบายไม่ได้

“ถ้าถามถึงมุมโปรด แล้วจะให้ตอบแบบไม่ติดตลกเหมือนเมื่อกี้” แค่เกริ่นขึ้นมาก็รู้ว่าโบกี้ไลอ้อนจริงจัง (แต่ก็ติดตลกอยู่ดี) “คงเป็นมุมที่ชอบเอาไว้นอนมองเพดาน คุยกับตัวเอง แล้วก็คิดอะไรบางอย่าง…

“เราชอบไปนอนที่นั่น มองไพ่ มองเพดาน มองความเงียบ แล้วก็พูดกับตัวเองในใจ”

…เมื่อพูดจบ โบกี้ไลอ้อนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ กลับกลายเป็นโบกี้ไลอ้อนอีกคนที่นั่งข้างถังขยะ

ในห้องเล็กๆ ของมุมมีหน้าต่างที่ยื่นออกจากตัวผนังบ้าน หรือ Bay window กลายเป็นเตียงขนาดย่อมให้โบกี้ไลอ้อนได้นั่งๆ นอนๆ ปล่อยความคิด หากนอนราบตัวไปบนเตียงของมุมนี้จะเห็นว่ามีไพ่เรียงอยู่บนชั้นหลายสำรับ

อย่างที่หลายคนทราบกันดีกว่า ของสะสมอีกอย่างของโบกี้ไลอ้อน คือ ‘ไพ่ยิปซี’ และหลายคนคงเข้าใจว่าที่เธอสะสมไว้หลายสำรับเพราะเป็นสายมูฯ (มูเตลู) แต่โบกี้ไลอ้อนกลับมองว่าไพ่แต่ละใบจากแต่ละสำรับก็เหมือนงานศิลปะ ที่มีทั้งสีสัน มีสัญลักษณ์ และมีความรู้สึกบางอย่างที่เอาไว้ใช้ ทบทวน มากกว่าทำนาย และหากย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นความสนใจในไพ่ยิปซี เธอเล่าต่อให้ฟังว่า มันอาจจะเริ่มตั้งแต่ยังเด็ก และเชื่อมโยงกับอีก ‘ความลึกลับเหนือธรรมชาติ’ ที่หลายคนอาจไม่รู้…โบกี้ไลอ้อนมีเซนส์

“ตั้งแต่เด็กๆ ก็รู้สึกว่าเรามีเซนส์ค่ะ เจออะไรเหนือธรรมชาติเยอะมาก แล้วก็เริ่มชอบไพ่ยิปซีเพราะมันเชื่อมระหว่างศิลปะกับความลึกลับ ไพ่แต่ละสำรับเหมือนมีเรื่องเล่าของมัน มีสัญลักษณ์ มีสี มีรูปแบบที่ต่างกันไป เราชอบเก็บสะสม แล้วก็บางทีก็การพยากรณ์ด้วย”

เมื่อโบกี้ไลอ้อนเปิดประเด็นลี้ลับที่ไม่ค่อยได้คุยกับใครเช่นนี้ มีหรือที่จะพลาดไม่ให้เธอยกตัวอย่างเรื่องแปลกๆ มาเล่าให้ฟังกัน แต่ก่อนจะเล่า โบกี้ไลอ้อนย้ำอีกครั้งว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้น

“เหตุการณ์ที่ชัดเจนที่สุดคือ เราเคยทักคนคนหนึ่งว่า…จะเกิดการสูญเสียขึ้น แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ” โบกี้ไลอ้อนเล่าด้วยน้ำเสียงนิ่ง (และแอร์ในห้องก็เย็นมาก) 

“มันไม่ได้มีแค่นั้นนะ มีอีกหลายเหตุการณ์เลยที่เกิดขึ้นจริง เช่น อยู่ดีๆ ตัวเองก็รู้ว่าน้ำหกใส่กระเป๋าเพื่อน ทั้งที่ไม่มีใครบอก หรือบอกเพื่อนว่าระวังจะตกหน้าผา แล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงเพื่อนโทรกลับมาร้องไห้ เพราะทำแว่นตกหน้าผา เกือบตกลงไปด้วย”

และโบกี้ไลอ้อนเองก็เคยเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก โดยไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องนั้นจะกลายเป็นจริง…ตอนนั้นเธอจึงทำได้เพียงเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ เพราะหากบอกคนอื่นไป ใครที่ไหนจะเชื่อคำพูดของเด็ก 8 ขวบ แม้แต่เธอเองในตอนนั้นก็ยังคิดเลยว่า…นี่มันบ้าหรือเปล่า!

เธอเคยลองถามแม่เบาๆ ว่า ถ้าหนูเห็นหรือรู้อะไรบางอย่าง หนูควรพูดไหม แม่นิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบอะไร และเมื่อถึงเวลา มันก็เกิดขึ้นจริงๆ

…แม้เพลงนี้เธอไม่ได้ฟัง ทุกๆ คำที่เคยบอกไว้ งดงามแม้ยิ่งห้าม ฉันจำได้เสมอ (เพลง ‘วาดไว้’)

ยิ้มให้ดูหน่อยแล้วค่อยไป ยิ้มให้ดูก่อนเราจะจากไกล

…แค่เธอยิ้มก่อน แล้วเธอค่อยนอนหลับฝันดี (เพลง ‘ยิ้มลา’)

เคยวาดเอาไว้ในทุกๆ สิ่ง แต่ชีวิตจริงปลุกให้ฉันต้องตื่น และฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง (เพลง ‘ชีวิตจริง’)

“เรารู้สึกว่าเหมือนตัวเองนั่งนับถอยหลังอยู่คนเดียว ตอนนั้นยังเด็กมาก ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าอะไร…แต่เหมือนจิตใจเราค่อยๆ ปลิวหายไปกับความกลัว”

เด็กหญิงโบกี้ไลอ้อนในวัย 8 ขวบที่ควรวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ แต่เธอกลับต้องมาเรียนรู้ที่จะอยู่กับความตายเงียบๆ ต้องเรียนรู้วิธีไม่พูดเรื่องที่รู้ และต้องรับมือกับการสูญเสีย…ก่อนจะทันเข้าใจว่าความสูญเสียคืออะไร

ไม่ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่เธอมี ‘ความเชื่อส่วนตัว’ ว่าเป็น ‘เรื่องเหนือธรรมชาติ’ หรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงได้คือ ทั้งเด็กหญิงโบกี้ไลอ้อนและนางสาวโบกี้ไลอ้อน พวกเธอต่างไม่เคยอยากจะสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รักเหมือนกันแน่นอน

[ห้องทำงาน กลิ่นเทียน และ ‘Cherry’ On Top]

“…‘ห้องทำงาน’ คือพื้นที่ในบ้านที่สะท้อนตัวตนในแบบที่เป็นเราชัดเจนที่สุด”

ไม่ใช่เพราะมีคอมพิวเตอร์ โต๊ะเขียนเพลง หรือไฟสตูดิโอ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่แสดงแสนยานุภาพของการเป็น ‘นักร้อง’ เบอร์ต้นๆ ของประเทศ แต่เพราะห้องนี้คือสถานที่ที่โบกี้ไลอ้อนใช้ ‘ลงมือทำงาน’ และยังเป็นสัญลักษณ์ของ ‘การเคารพตัวเอง’

ห้องทำงานของโบกี้ไลอ้อนเป็นห้องเดียวกับที่เธอสะสมไพ่ยิปซี แต่มีกลิ่นอายคนละแบบ นอกจากอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ทำงานแล้ว อีกหนึ่งสิ่งพิเศษในห้องนี้นั่นคือ ‘กลิ่น’ ในห้องนี้มีเทียนหอมหลากกลิ่น บรรยากาศในห้องไม่ต่างจาก สปา ที่ไว้บำรุงหัวใจ

‘เทียนหอม’ เป็นข้าวของอีกสิ่งที่โบกี้ไลอ้อนรัก เธอไม่ได้รักมันเพราะความโรแมนติกที่เกิดจากเปลวแสงเทียนเพียงอย่างเดียว แต่เพราะแสงเทียนคือสัญลักษณ์ของ ‘การบูชา’ ที่มีความหมายลึกซึ้งสำหรับเธอ โบกี้ไลอ้อนยังยกตัวอย่างว่าก็เหมือนที่เราจุดเทียนไหว้พระ เพื่อบอกว่าเรานอบน้อม ส่วนตัวเธอเองก็จุดเทียนในห้องทำงาน เพื่อแสดงความเคารพต่อ ‘สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจากมือของเรา’ เช่นกัน

“(การจุดเทียนในห้องทำงาน)ืเหมือนพิธีเล็กๆ ก่อนเราจะเริ่มงาน เหมือนบอกว่าสิ่งที่เราทำ…เราตั้งใจและจริงใจกับมันนะ บางทีแค่ได้จุดเทียน เราก็รู้สึกว่างานที่เราทำ…มีคุณค่า”

ในห้องทำงานที่ไม่เคยมีคำว่าเร่งรีบ โบกี้ไลอ้อนใช้เทียนเป็นแหล่งพลังงาน ไม่ใช่แสงจากไฟฟ้าที่เปิดปุ๊บติดปั๊บ แต่เป็นแสงที่ค่อยๆ ลุกขึ้น จากเปลวเล็กๆ ที่มีชีวิตของมันเอง และอัลบั้มล่าสุดของเธอ อย่าง Cherry ก็เกิดขึ้นในห้องนี้เช่นกัน

“อัลบั้มนี้ไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่เหมือนอัลบั้มแรก แต่มันคือ ‘Cherry On Top’ ที่ทำให้ทุกอย่างในชีวิตช่วงนี้หวานขึ้นนิดนึง…โดยไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่ม”

‘อัลบั้ม Cherry’ จึงไม่ได้เป็นแค่ผลงาน แต่เป็นผลไม้สีแดงลูกเล็กที่วางอยู่บนยอดของการทำงานด้วยหัวใจ ทุกเพลงในอัลบั้มจึงกลายเป็นภาพสะท้อนของห้องที่เธออยู่ในนี้ทุกวัน และยังคงกลับมาเปิดประตูหามันทุกครั้งที่เธออยากรู้ว่า…วันนี้ใจเรารู้สึกอะไรอยู่

[ตู้ใบนี้มีของบางชิ้นซื้อไว้ใช้ และของบางชิ้นซื้อไว้ไม่ให้หาย]

สำรวจบ้านของโบกี้ไลอ้อนกันมาหลายห้อง ตั้งแต่ประตูรั้วของบ้าน (ที่ไม่เคยอยู่) ในฝัน แวะพักนั่งที่มุมข้างถังขยะในห้องครัว ไปจนถึงห้องทำงานที่เต็มไปด้วยไพ่ยิปซี แสงเทียน และบรรยากาศโรแมนติกสุดลึกลับ ในแต่ละห้องล้วนมีทั้งเรื่องเล่า ความผูกพัน และมุมมองต่อชีวิตซ่อนอยู่ในทุกๆ วันของโบกี้ไลอ้อน

แน่นอนว่าบ้านทุกหลัง ย่อมมี ‘ตู้เก็บของ’ สักใบที่รวบรวมของรักของหวงไว้เสมอ หากลองเปิดตู้ของโบกี้ไลอ้อนดูบ้าง คิดว่าข้างในนั้นจะมีอะไร?

บางทีอาจจะได้เจอสมุดเปล่าเล่มสำคัญ รองเท้าไซซ์เดียวกันสิบๆ คู่ หรือต่างหูแบบเดิมซ้ำกันเกือบร้อยอัน… และบางทีอาจจะได้เจอ ‘ความกลัว’ บางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้ของสะสมเหล่านั้นด้วย

“ถ้าต้องเลือกของรักของหวงที่สุดในบ้าน…ก็คงเป็น ‘สมุดจดเนื้อเพลง’ ฟังดูมันอาจจะไร้สาระ แต่สิ่งที่ขีดๆ เขียนๆ ในนั้นก็กลายเป็นเพลงที่คนร้องตามได้ในวันหนึ่ง”

หลังจากพูดจบ โบกี้ไลอ้อนก็ยื่นสมุดเปล่าๆ ดูธรรมดาเล่มหนึ่งมาให้ เล่มนี้ที่เธอใช้จดอะไรก็ตามที่ผุดขึ้นในหัว นึกอะไรออกก็เขียนลงไปและลายมือก็อ่านยากเช่นกัน แต่ในสายตาของโบกี้ไลอ้อน สมุดเล่มนั้นคือที่อยู่ของความรู้สึก แทนความคิดที่ยังไม่เป็นคำ หรือประโยคที่ยังไม่เป็นเพลง รวมถึงความเงียบที่ยังไม่กลายเป็นเสียง

แน่นอนว่า สมุดเล่มนี้ ‘ไม่เคยหาย’

“ใครจะปล่อยมันหายล่ะ เขียนอะไรไว้ก็ไม่รู้” โบกี้ไลอ้อนหัวเราะ

สมุดเล่มนี้ไม่เคยหาย…และโบกี้ไลอ้อนก็ ‘กลัว’
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการรู้ตัวว่า เธอเป็นคน ‘กลัวการเปลี่ยนแปลง’ ไม่ใช่แค่ในเรื่องใหญ่ๆ อย่างชีวิตหรือครอบครัว แต่แม้กระทั่งกับของใช้เล็กๆ น้อยๆ หรือข้าวของในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ แว่นตา รองเท้า หรือเสื้อยืดตัวเดิม

“เราเคยเจอต่างหูอันหนึ่งที่ใส่แล้วไม่แพ้ เลยซื้อไว้เกือบ 30 คู่ ซื้อเหมือนเดิมหมดเลย แค่เผื่อหาย เผื่อหาไม่เจอ…แค่นั้นเอง”

จะว่าเป็นเรื่องปกติของคนช่างจัดแจงเตรียมพร้อมก็ดูเป็นความปกติที่เกินเรื่องไปสักนิด แม้แต่โบกี้ไลอ้อนเองก็ยังหัวเราะเบาๆ และยอมรับว่า บางพฤติกรรมของตัวเองอาจเรียกได้ว่าเข้าข่าย ‘Hoarding disorder’ หรือภาวะอาการสะสมของซ้ำๆ เพราะตัวเธอเองไม่อยากให้มันหายไป

แม้กระทั่งสบู่กลิ่นโปรดก็มีสต็อกไว้เกินร้อย แว่นตาแบบเดียวกันซื้อไว้เป็นโหล รองเท้าไซซ์เดียวกันซื้อหลลายคู่ บางคู่ใส่ไม่ได้ก็ยังซื้อ…เพราะ ‘แค่รู้สึกว่าอยากมีไว้’

โบกี้ไลอ้อนรู้ตัวว่า ‘ความกลัวการเปลี่ยนแปลง’ นี้มันไม่ใช่แค่เรื่องตลก แต่เป็นพฤติกรรมที่มีอยู่จริงในตัวเธอมาตั้งแต่เด็กๆ และยังคงอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ เมื่อทำงานมีรายได้ เธอจึงเริ่มเห็นว่ารายจ่ายส่วนใหญ่ของเธอหมดไปกับของซ้ำๆ ที่ซื้อไว้ เพราะ “กลัวว่าสิ่งที่เราชอบจะหายไปวันหนึ่ง กลัวว่าวันนั้นจะไม่มีผลิตแล้ว แล้วเราจะทำยังไงต่อ

“แม้กระทั่งของในบ้านที่วางรกๆ เนี่ย เราจำได้หมดนะว่าอะไรอยู่ตรงไหน ถ้าอยู่ดีๆ มีใครมาย้าย มันจะรู้สึกเลยว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม”

ในบ้านหลังนี้จึงไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่มันคือพื้นที่ส่วนผสมระหว่างที่พักกายพักใจ ห้องทำงาน แกลเลอรีสะสมของ และเขตปลอดภัยจากความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ในแบบที่ตัวเองพอใจ

[ทุกๆ อย่างควรอยู่ที่เดิม…ความรู้สึกก็เช่นกัน]

เมื่อถามว่า ในฐานะคนที่กลัวความเปลี่ยนแปลง แล้วรับมือกับมันยังไง โบกี้ไลอ้อนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดติดตลกว่า “เอาจริงๆ ก็…ไม่ค่อยรับมือกับมันนะ

“เรารู้ตัวว่าเป็นคนกลัวการเปลี่ยนแปลง ถึงขั้นต้องหาหมอ เพราะมันกระทบกับชีวิตในทุกๆ อย่างเลยค่ะ

“คนรอบตัวอย่างผู้ช่วยของตัวเองก็บอกว่า ตัวเราเองใช้วิธีทำให้มันไม่ต้องเปลี่ยน คือถ้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างขึ้น ก็จะต้องเป็นสิ่งที่คิดมาแล้วแบบถี่ถ้วนมากๆ เหมือนในหัวของตัวเองจะเห็นภาพล่วงหน้าก่อนว่าถ้ามันจะเปลี่ยน มันจะเป็นยังไง

“แม้แต่การเปลี่ยนแปลงกับของเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านก็กระทบกับความรู้สึกเหมือนกัน จนต้องไปพบจิตแพทย์ และเขาบอกว่าเราเป็น Anxiety เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง เช่น ไฟดวงนี้วางอยู่ตรงนี้ แล้วอยู่ดีๆ เพื่อนมายืมไปถ่ายงาน พอเดินกลับมาไม่เห็นปุ๊บ…เราก็แพนิกเลย มันหายไปไหน ทั้งที่จริงๆ ไฟอันนี้ควรย้ายได้ด้วยซ้ำ แต่มันเหมือนเป็นจุดที่เราจำว่ามันต้องอยู่ตรงนี้”

สิ่งเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับบางคนอาจแค่รู้สึก ‘ไม่ชิน’ แต่สำหรับโบกี้ไลอ้อน มันเป็นความรู้สึกที่กระเพื่อมขึ้นมาลึกจนไม่สามารถมองข้ามได้ เป็นแรงสั่นสะเทือนที่บอกเธอว่า ‘บางอย่างกำลังจะไม่เหมือนเดิม’ และเธอพยายามรับมือกับมัน ด้วยวิธีที่บางครั้งก็ดูประหลาดในสายตาคนอื่น

“บางทีถ้ารู้ว่าอะไรบางอย่างจะเปลี่ยน เราเสียใจกับมันตั้งแต่ก่อนมันเปลี่ยนเลยค่ะ เตรียมใจให้เจ็บไว้ก่อนล่วงหน้า”

วิธีรับมือของเธอจึงไม่ใช่การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง แต่คือการ ‘ควบคุมมันไว้ล่วงหน้า’ เช่น ถ้าใครในบ้านอยากใช้กรรไกรที่เธอเคยวางไว้จุดเดิม เธอจะซื้อใหม่ให้ไปใช้ที่อื่น ส่วนของเดิมก็จะยังอยู่ที่เดิม ไม่ถูกรบกวน

“ฟังดูเปลืองมากเลยเนอะ แต่มันคือวิธีที่เรารับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดแล้ว” โบกี้ไลอ้อนว่า “แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธมันตลอดนะ ถ้ามันจำเป็นต้องเกิดขึ้น ก็จะพยายามคิดให้มากที่สุดก่อนมันจะเกิด แล้วถ้าเปลี่ยนไปแล้ว ก็พยายามทำให้มันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเลย จะได้รู้สึกว่าอย่างน้อยมันก็มีความหมาย”

สำหรับโบกี้ไลอ้อน การเปลี่ยนแปลงอาจไม่ใช่สิ่งที่เธอเปิดใจรับได้ง่ายๆ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอวิ่งหนี เพียงแค่เธอเลือกจะรับมือด้วยวิธีของตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีที่เต็มไปด้วยความพยายาม ความระแวดระวัง และหัวใจที่อยากให้ทุกอย่างยังอบอุ่น ปลอดภัย เหมือนเดิม

[ละ ‘ลานตา’ ทั้งในบ้าน…และในใจ]

เมื่อพูดถึงของสะสมในบ้าน ทั้งต่างหูซ้ำกันหลายสิบคู่ สบู่ร้อยก้อน หรือรองเท้าที่ซื้อมาแม้ใส่ไม่ได้ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยไม่ได้ว่า โบกี้ไลอ้อน…เคยแต่งเพลงจากสิ่งของเหล่านี้บ้างไหม?

โบกี้ไลอ้อนพยักหน้าแทนคำตอบ และพูดต่อว่า “จริงๆ มีค่ะ แต่ไม่ใช่เพลงที่ปล่อยออกเป็นทางการนะ เป็นเพลงสำหรับคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตเลย ชื่อว่า ‘ลานตา คอนเสิร์ต’ ส่วนเพลงนั้นก็ชื่อว่า ‘ลานตา’ เหมือนกัน เป็นเพลงแรกเหมือนเป็นโชว์เปิดคอนเสิร์ตเลย”

หลังจากนั้นเธอก็ร้องเพลงลานตาให้ฟัง

…ถ้านี่คือจินตนาการที่ฉันเคยสะสมไว้
ถ้าจะพูดถึงจินตนาการที่สะสมไว้เปรียบเป็นของ
มันก็คงเกลื่อนกลาดเหมือนบ้านหลังใหญ่
หรือว่าถ้าจะเปรียบความสามารถนี้คือความชำนาญที่ชีวิตนี้จะได้ใช้
มันก็คงเป็นโลกทั้งใบของเรา…

คำว่า ‘ลานตา’ สำหรับโบกี้ไลอ้อน ไม่ได้มีความหมายเดียว

ลานตา แบบแรก คือ ‘ลานสายตา’ ที่เรามองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ทั้งหมด แล้วอีกความหมายก็มาจากคำว่า ‘ละลานตา’ คือเวลาที่ตัวเองมองของเยอะๆ ที่รกเต็มบ้าน ข้าวของเยอะมาก เยอะจนจัดไม่ไหว ก็เลยกลายเป็นเพลงที่พูดถึงทั้งสายตาและความรู้สึกเวลามองอะไรที่มันมากเกินไปจนจัดการไม่ทัน

“แม้จะเป็นเพียงเพลงสั้นๆ ใช้เปิดคอนเสิร์ตครั้งนั้น แต่เนื้อเพลงนั้นสะท้อนตัวเองอย่างชัดเจน”

ในเพลงนี้ โบกี้ไลอ้อนเปรียบจินตนาการที่สะสมไว้เป็นเหมือนสิ่งของ บางชิ้นคือความสามารถที่กำลังจะได้ใช้ บางชิ้นคือเรื่องที่ยังไม่ได้จัดการ บางชิ้นคือของที่ยังไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน แต่ทั้งหมดรวมกัน กลายเป็น ‘โลกทั้งใบของเธอ’

“มันเป็นเพลงที่บอกว่าเราไม่ได้อยากเรียบร้อย แต่เราอยากทำให้สิ่งที่รกอยู่กลายเป็นระเบียบในแบบของเราเอง”

อยาก ‘มินิมอล’ แต่ดันเป็น ‘มินิมาร์ท’ นี่แหละชีวิตโบกี้ไลอ้อน

[‘ที่คั่นหนังสือ’ พื้นที่คั่นระหว่างหน้า คั่นกลางระหว่างใจ]

บ้านหลังนี้ของโบกี้ไลอ้อน ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สะสมข้าวของ หรือแหล่งกักเก็บความคิดสร้างสรรค์ แต่มันยังเป็นพื้นที่ที่เธอใช้เก็บ ‘ความรู้สึก’ เอาไว้อีกด้วย แม้จะดูรกในสายตาคนอื่น แต่ทุกสิ่งล้วนถูกจัดวางไว้อย่างมีความหมาย เหมือนกับเพลงของเธอ ที่หลายครั้งอาจเริ่มต้นจากความวุ่นวายภายในความคิด ก่อนจะถูกเรียบเรียงออกมาอย่างสวยงาม

“ถ้าเขาอ่านเธอไม่จบ คงจะพบฉันคั่นระหว่างหน้า 

วันที่เขาอ่านเธอไม่ละสายตา วันนั้นคงต้องลาก่อน”

และเพลงล่าสุดอย่าง ‘ที่คั่นหนังสือ (Sometimes)’ คืออีกเสียงสะท้อนของความสัมพันธ์ที่ยังไม่จบดี และความรู้สึกของคนที่เลือกจะ ‘อยู่ตรงกลาง’ ระหว่างบทที่ถูกละไว้

เพลงนี้ที่เติบโตจากการเข้าใจว่า บางความรักอาจไม่มีตอนจบแบบสมบูรณ์ แต่ก็ยังมี ‘ที่คั่น’ ที่ทำหน้าที่เก็บหน้าหนึ่งนั้นไว้ด้วยความห่วงใย

โบกี้ไลอ้อนเล่าว่า ตัวเองมองความสัมพันธ์นั้นผ่านเลนส์ของคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเล่ม แต่ยังสำคัญพอที่จะอยู่ในนั้น…ถึงแม้ที่คั่นจะมีค่าแค่บางเวลา แต่อย่างน้อยก็ยังพอสำคัญในวันที่หนังสือเล่มนั้นถูกอ่านไม่จบ เหมือนกับของบางชิ้นในบ้านของตัวเองที่ไม่ได้มีหน้าที่ถาวร แต่ยังอยู่ตรงนั้นเสมอ เฝ้ารอเวลาที่ใครสักคนจะหยิบกลับมาใช้งานอีกครั้ง

และเมื่อเพลง ‘ที่คั่นหนังสือ’ ได้ นนท์ ธนนท์ มาร่วมเติมความละมุน ความรู้สึกของการอยู่ตรงกลางอย่างมีตัวตนก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยเสียงร้องที่ประสานกันอย่างลงตัว ถ่ายทอดบางความรักที่ไม่ได้เป็นบทสุดท้าย ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่สวยงามพอๆ กับตอนต้นเรื่อง หากเราเลือกมองมันด้วยความเข้าใจ 

[I Am Home เพราะฉัน…คือ ‘บ้าน’ หลังนี้]

เมื่อถามโบกี้ไลอ้อนว่าสำหรับเธอ คำว่า ‘บ้าน’ คืออะไร?
เธอตอบกลับมาทันทีว่า “I am home”

“ทุกอย่างในบ้านสร้างความสบายใจ เป็นที่พักพิง เป็นพื้นที่ที่คนที่รักมารวมกัน”

เพราะเคหสถานหลังนี้ ไม่ใช่เพียงสิ่งปลูกสร้างที่มีหลังคา ผนัง ประกอบกันเป็นที่อยู่อาศัย หรือกำแพงล้อมแสดงอาณาเขตและความเป็นเจ้าของ แต่คือพื้นที่หนึ่งในชีวิตที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อจะเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทุกๆ อย่าง มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ทุกมุมมีร่องรอยของความคิด ความรู้สึก และความทรงจำ

“เรายังต้องทำงาน ยังมีแพสชัน แล้วก็ยังมีหนี้อยู่ค่ะ (หัวเราะ) แต่ถ้าถามว่าเรามีความสุขไหม ตอบได้เลยนะว่า…เรามีแล้ว”

จากคนที่เคยไม่มีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง วันนี้โบกี้ไลอ้อนกำลังนั่งอยู่ในพื้นที่ที่สะท้อนตัวเธอได้ชัดเจนที่สุด พื้นที่ที่เธอพูดได้เต็มปากว่า ‘นี่คือที่ของเรา’ และแม้ชีวิตตอนนี้จะยังไม่ได้เป็นอย่างที่เธอวาดไว้ทั้งหมด ยังมีงานต้องทำ ยังมีหนี้ที่ต้องใช้ ยังไม่มีเวลานั่งเลี้ยงสัตว์อย่างที่ฝัน แต่โบกี้ไลอ้อนกลับรู้สึกว่านี่แหละ…คือบ้าน

และนั่นแหละ ‘บ้านของโบกี้ไลอ้อน’ อาจไม่ได้เป็นบ้านหลังใหญ่ในฝันของใครบางคน แต่คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความรัก ความรู้สึก และสิ่งมีชีวิตที่เธอผูกพันด้วยหัวใจทั้งหมด นี่คือบ้านที่เธอเป็นคนสร้าง และเป็น ‘บ้านที่เธอเป็นคนอยู่’ ในทุกความหมายของคำว่า home