รีวิวหนังสือเล่มโปรด อิชมาเอล Ishmael: จิตวิญญาณทัศนาจร!

12 Min
203 Views
11 Jun 2023

อิชมาเอล​ (Ishmael): จิตวิญญาณ​ทัศนาจร!

ชวนอ่านนวนิยายเชิงปรัชญา​ อิงประวัติศาสตร์​และเสียดสีสังคมอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่​!

ทั้งครบรสและมาพร้อมกับแนวคิดแบบองค์รวม (holistic view) ที่จะช่วยขยายความชัดเจนเกี่ยวกับ​ “ความผิดพลาด​ในการดำรงอยู่ของมนุษย์ยุคใหม่ได้อย่างเต็มเปี่ยม​” มาแนะนำกันอีกแล้ว (เล่มนี้ต้องอ่านกันให้ได้​ พลีสๆๆ​ ใครอ่านแล้วมาแชร์ให้กันฟังบ้างน๊า)​ เล่มนี้เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจ​เรื่องความหมายของโลก เจตจำนง​ศักดิ์​สิทธิ์ของโลกใบนี้​ และชะตากรรมของมนุษย์​ ที่ซึ่ง​ทุกสิ่งอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต​ มันกำลังผิดปกติไปหมดแล้วสำหรับเราคนรุ่นใหม่!

เล่มนี้เลย อิชมาเอล​ Ishmael: จิตวิญญาณ​ทัศนาจร​ เขียนโดย​ แดเนียล​ ควินน์​ (Daniel Quinn) นักเขียนในดวงใจ​ของตน ผู้ที่ได้จุดประกาย​หัวใจดวงใหม่ให้กับชาวโลก​ และผู้ที่ได้สร้างความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับปมปัญหาที่ว่า​ มนุษย์กลายมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? ในบทบาทของผู้ถือครอง​ (Takers)​ และผู้ละทิ้ง​ (Leavers)​ ที่กลุ่มหนึ่งไม่ปฏิบัติตาม ​กฏขีดจำกัดของการแข่งขัน​ หรือ ​the law of limited competition และอีกกลุ่มหนึ่งปฏิบัติ​ตามกฎข้อนี้มาโดยตลอด​ และทำตามกฎมาต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้​ โดยหมู่ผู้ละทิ้งที่ไม่เคยแบ่งแยกตัวเองออกไปจากกฎเหล็กอย่างที่ว่านี้เลย ให้กับพวกเราทั้งหลายได้มาไขปริศนาร่วม​กันต่อไป!

ขอบคุณผู้แปล และสำนักพิมพพ์ที่ได้จัดตีพิมพ์หนังสือสุดคลาสสิกเล่มนี้สู่สังคม
แปลโดย​ กรรณิการ์​ พรมเสาร์​ จัดตีพิมพ์​โดย​ สำนักพิมพ์​มูลนิธิ​โกมลคีมทอง

ที่จริงแล้วนวนิยายชุดนี้ของค​วินน์​ มีทั้งหมด​ 3 เล่ม​ หากมีโอกาสเราจะทยอยมาเขียนรีวิวให้ได้ติดตามกันต่อเรื่อยๆ​ แน่นอน!

วันนี้มาเริ่มกับเล่ม​แรกสุดที่ได้รับการแปลถ่ายทอด​เป็นภาษาไทยมาตั้งแต่ปี​ พ.ศ. 2547 (จัดเป็นหนังสือโด่งดังระดับตำนาน​ หนังสือเปลี่ยนชีวิต​และเปิดมุมมองอันกว้างใหญ่ต่อภารกิจการพิทักษ์​โลก)​ แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว เแต่เล่มนี้ก็ยังส่งเสียงให้เราได้ตั้งคำถามอย่างไม่รู้จบสิ้นกับ​ “แม่วัฒนธรรม​ หรือ​ Mother culture” และการก่อตั้งอารยธรรม​ของสังคมมนุษย์ในยุคเริ่มต้นทำเกษตรกรรม ​มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน​นี้​ (อย่าพึ่งตกใจกันไปนะ​ เล่มนี้เป็นนิยายจึงอ่านง่ายและเข้าใจได้ง่ายดายอีกด้วย)​

ครั้งแรกที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จากต้นฉบับ เราก็ยังไม่ค่อยเข้าถึงแก่นเรื่องได้เท่าไหร่​ เพราะไม่ค่อยเข้าใจเลยทำไมต้องมีความยุ่งเหยิง​อะไรขนาดนี้ในสังคมตะวันตก​ อาจจะเพราะเราเติบโตมาในสังคมที่เรียบง่ายมากกว่า​ การโตมาในชนบท​ จะมีความเป็นอิสระ​มากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่​ ผู้คนไม่ค่อยชอบแข่งขันกัน​ ผู้คนชอบแบ่งปันและเอื้ออาทรต่อกันเป็นซะส่วนใหญ่เสมอ​ แต่พอเจอความวุ่นวายใจที่เกิดขึ้นในเล่มนี้​ เราก็แยกไม่ยังออกว่า​ มันคืออะไรหนอเรื่องนี้… แต่พอผ่านไปไม่ถึงปี​ ก็เริ่มได้เข้าใจว่า​ ทุกสิ่งอย่างที่ อิชมาเอล กล่าวไว้ใน​ “จิตวิญญาณ​ทัศนาจร” มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของเราอยู่ทนโท่ทุกวี่วัน! ทำไมเราพึ่งมาเอะใจ​ พอตกมาเมื่อปีก่อนได้พบว่ามีฉบับแปลนานมาแล้ว​ ก็เลยต้องอ่านอีกรอบ​นึง ผลปรากฏ​ว่า​ “คงถึงเวลาแล้วที่เราๆ​ จะได้มีแรงบันดาลใจ​ในการดำรงอยู่ด้วยวิถีชีวิตแบบใหม่กันเองบ้าง”

อิชมาเอล: จิตวิญญาณ​ทัศนาจร!

หนังสือเล่มนี้เขียนรีวิวยากมาก​ เพราะไม่อยากเอาจุดระทึกใจของเรื่องออกมาลง​ แต่ก็ไม่รู้จะทำไงดีถึงจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่อ่านเล่มนี้แล้ว​ และจะไม่ไปสปอยล์​กับคนที่กำลังจะอ่านอยู่…. เพราะเรื่องราวทั้งหมดคือความสมบูรณ์​แบบตามคำที่อิชมาเอลได้บรรจงไว้ผ่านหน้ากระดาษตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง​ ไหนๆ​ ก็ไหนๆ​ แล้วเถอะ​ เราจะขอเปิดฉากรีวิวดังจะกล่าวต่อไปนี้…. “หากสูญสิ้นมนุษย์​ จะมีความหวังไหม​ สำหรับกอริลา” และ​ “หากสูญสิ้นกอริลา​ จะมีความหวังไหม​ สำหรับมนุษย์” มาเริ่มกันเร๊ยยยย!

อิชมาเอลตัวเอกของเรื่องได้แบ่งปันนิทานปรัมปรา (ที่อิงตามประวัติศาสตร์​ของการเริ่มต้นทำเกษตรกรรมของมนุษย์​ เมื่อประมาณ​ 10,000​ ปีทีแล้ว)​ ให้กับลูกศิษย์​ของเขาที่ว่าด้วยเรื่อง​ “แม่วัฒนธรรม​ หรือ​ Mother culture” ซึ่งก็คือ​ สิ่งต่างๆ​ ที่พวกเราได้ยิน​ ได้ฟัง​ ได้พบเห็นกันมาตั้งแต่แรกเกิด​ เพราะแม่วัฒนธรรม​สอนว่า​ “สิ่งที่เราเห็นและเป็นอยู่นั้น​ ก็คือสิ่งที่มันจะควรเป็นอยู่แล้วละ​ กล่าวคือว่า​ สิ่งต่างๆ​ เป็นแบบนั้น​หรือแบบนี้ได้อย่างไร​ แล้วเสียงของแม่วัฒนธรรมก็จะคอยบอกเราในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ จนมันติดอยู่ในจิตสำนึก​ของเราอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องทำยังไงต่อดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเรา”

สำนวนหนึ่งที่อิชมาเอลใช้อธิบายผ่านนิทานอิงประวัติศาสตร์​นี้ก็คือ​ ผู้ถือครอง​ หรือ​ Takers (จัดอยู่ในวัฒนธรรมยุคใหม่นี้)​ และ ผู้ละทิ้ง​ หรือ​ Leavers​ (จัดอยู่ในวัฒนธรรมอื่นๆ​ ของบรรพบุรุษ​ของเรา อย่าง​ วัฒนธรรมของ​คนป่า​และชนเผ่าพื้นเมือง)​ สำนวนทั้งสองนี้แสดงถึงคนอยู่สองกลุ่มในสังคมเรา

โดยผู้ถือครองคือ​ ผู้ที่เจริญแล้ว​ และผู้ละทิ้งคือ​ ผู้ที่ป่าเถื่อน​ ล้าหลัง​ ตามคตินิยมของสังคมยุคใหม่​ พอพูดแบบนี้คุณก็จะเห็นภาพทันที​ เพราะแม่วัฒนธรรม​สอนไว้เช่นนี้​ อิชมาเอลถามลูกศิษย์​ไว้ว่า​ “ในบรรดา​วัฒนธรรม​ของคุณ​ คุณคิดว่ากลุ่มไหนต้องการทำลายโลกมากที่สุด” และที่สำคัญอิชมาเอลยังถามไว้ต่ออีกว่า​ คุณๆ​ ทั้งหลายในวันนี้​ เคยรู้สึกกันไหมว่า​ ตัวเองโดนหลอกให้ทำอะไรหลายสิ่งอย่าง​อยู่รึเปล่าในอารยธรรม​นี้​ ถ้าคุณรู้สึกเช่นนั้น​ มาตามดูต่อกันว่า​ การโดนหลอกนี้​ มันคืออะไรกันแน่!

อิชมาเอลได้พยามเล่าเรื่องให้กระชับ โดยแบ่งออกเป็นสามอย่าง​ เพื่อให้คนเข้าใจความหมายของแม่วัฒนธรรม​ ดังนี้:

1. นิทาน​: มีเค้าเรื่องที่ว่าด้วย​ ความสัมพันธ์​ระหว่างมนุษย์​ โลก​ และพระเจ้า
2. การแสดง​: การแสดงไปตามนิทานเพื่อทำให้มันกลายเป็นความจริง​
3.วัฒนธรรม​: คือประชาชนที่กำลังสวมบทบาทไปตามเค้าเรื่องของนิทาน​ แต่ว่ามีนิทานอยู่​ 2 เรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง​ ซึ่งกำลังแสดงอยู่แล้วในระหว่างที่มนุษย์​มีชีวิตอยู่​ และนิทานเรื่องแรกเป็นของผู้ถือครอง​ ส่วนอีกเรื่องเป็นของผู้ละทิ้ง

นิทานเรื่องที่​ 1 ปรากฏ​ตัวอยู่ที่นี่​ เมื่อ​ ​2-3​ ล้านปีก่อน​ โดยกลุ่มคนที่เป็น​ “ผู้ละทิ้ง” และพวกเขาบางส่วนก็ยังดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้อีกด้วย​ นิทานเรื่องนี้เป็นบทยาวที่ดำเนินไปเรื่อยๆ​ ไม่ค่อยมีประวัติศาสตร์​สำคัญๆ​ เกิดขึ้นเลย​ (ตามคำสอนของแม่วัฒนธรรม​)​ และมันจบลงตอนเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว พร้อมกับการกำเนิดเกษตรกรรมในแถบตะวันออก​ (อายธรรมแรกเริ่มที่เมโสโปเตเมีย)​ ช่วงเวลานี้เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของ​ นิทานเรื่องที่​ 2​ เริ่มแสดงตัวเมื่อ​ 10,000 ปีที่แล้ว​ โดยกลุ่มคนที่เรียกว่าเป็น​ “ผู้ถือครอง” ที่เกือบจะจบสิ้นลงด้วยความหายนะ​ มันจึงเป็นนิทานเรื่องเดียวที่เป็นวัฒนธรรม​ของคุณที่รู้จักและยอมรับ​กันมาโดยตลอด เพราะแม่วัฒนธรรม​สอนไว้ว่า​ สิ่งต่างๆ​ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน​นี้! นิทานเรื่องนี้เกี่ยวกับว่า​ “โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมนุษย์​ และมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกครองโลก” โดยกลุ่มผู้ถือครองที่เลือกมีชีวิตสั้นๆ​ หรือมีชีวิตที่รุ่งโรจน์​ ตามท้องเรื่องนี้ก็คือ​ มนุษย์​ถูกกำหนดให้เป็นศัตรูของโลก​ ส่วนชะตากรรมของมนุษย์​ก็กำหนดให้มนุษย์​พิชิตและปกครองครองโลก​ ซึ่งมันคือการทำลายล้างโลกไปในตัว!

อิชมาเอลเล่านิทานตอนแรกที่ว่า: ความหมายของโลก​ ก็คือว่า ดาวเคราะห์​ดวงนี้ถูกกำหนดให้เป็นบ้านและแหล่งกำเนิดของมนุษย์​ นี่คือความหมายของโลก​ “โลกเป็นของเรา” โลกถูกสร้างมาเพื่อมนุษย์​ มนุษย์​ก็เลยทำอะไรก็ได้ต่อโลก​ แล้วแต่ความพอใจของพวกเขา​ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยมาจากช่วง​ 10,000​ ปีมาจนถึงตอนนี้​ และคุณก็ทำเช่นนี้ต่อไปตามใจชอบอย่างไม่สงสัย​ เพราะ​ คุณคิดว่าโลกเป็นของคุณ

มาตามกันต่อเลยดีกว่า! ความแตกต่างระหว่างสังคมของผู้ถือครองและสังคมของผู้ละทิ้งก็คือ ผู้ถือครองเชื่อว่า​ “มันมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาด​ในตัวมนุษย์​เอง” ​บางอย่างที่ทำให้คนโง่เง่า​ ชอบทำลาย​ โลภมาก​ และสายตาสั้น​ ลักษณะที่สำคัญสุดของวัฒนธรร​มผู้ถือครอง​ คือการลุ่มหลงเชื่อฟังคำสอนของแม่วัฒนธรรม​ และพึ่งพาอำนาจบารมีของศาสดา​ อย่าง​ โมเสส​ พระพุทธเจ้า​ ขงจื๊อ​ พระเยซู​ และพระโมฮัมหมัด​ (จุดนี้จึงชัดเจนมากตามความเป็นจริงในสังคมยุคใหม่​ ที่ก็ปฏิบัติตัวตามวัฒนธรรม​ของผู้ถือครองโดยส่วนใหญ่ เพราะผู้คนทั่วโลกต่างก็นับถือศาสดาอย่างแน่วแน่​ และยึดปฏิบัติ​ตามกันมาโดยตลอด)​ ผู้ถือครองเชื่อว่า​ ไม่มีความรู้ที่เชื่อถือได้ในเรื่อง​ “มนุษย์​ควรใช้ชีวิตอย่างไร” แต่ เหล่าศาสดารู้ว่า​ มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร​ ซึ่ง ในหมู่ผู้ละทิ้ง​ กลับไม่มีประเพณี​นับถือศาสดา​ และพวกเขาก็ล่วงรู้ได้เองว่า​ “ต้องใช้ชีวิตกันอย่างไร”

สิ่งที่โดดเด่นสุดในวัฒนธรรม​ของหมู่ผู้ละทิ้งก็คือ​ ไม่มีความเชื่อเรื่องศาสดา​ ที่จะเป็นผู้ที่มาจัดระเบียบชีวิตพวกเขาและออกกฎหรือหลักการชุดใหม่แก่พวกเขาเพื่อใช้ดำเนินชีวิต​ แต่ในหมู่ผู้ถือครองต้องนับถือศาสดา​ เพราะศาสดารู้ว่ามนุษย์​ควรใช้ชีวิตอย่างไร​ (แต่ทำไมเราถึงจะรู้ไม่นะ​ ส่วนตัวเราคิดอยู่ว่า​ ที่จริงเราก็รู้ได้เองว่าต้องใช้ชีวิตยังไง เพียงแค่สังคมในยุคสมัยนี้ไม่เปิดโอกาสให้เราได้เลือกเองกันแม้แต่อย่างเดียว!

อิชมาเอลพร่ำบอกกับลูกศิษย์​ของตนต่อไปว่า: เราไม่ต้องการให้ศาสดามาบอกเราหรอกว่า​ ​”เราควรใช้ชีวิตอย่างไร” การก้าวข้ามกำแพงความคิดในวัฒนธรรม​ของคุณ​ มันทำได้ง่ายมาก​ ซึ่งก็แค่ต้องปฏิเสธเสียงของแม่วัฒนธรรม ​และปีนข้ามผ่านกำแพงนั้นไป

ผู้ถือครองปฏิเสธที่จะทำตาม​ กฎการรักษาความสงบ​ ซึ่งเป็นกฎที่ว่าด้วย “การถนอมชีวิตไว้เพื่อทุกชีวิต” ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของหญ้า​ ตั๊กแตน​ หมาป่า​ นกคุ่ม​ ฯลฯ​ และ “ในหมู่ผู้ละทิ้งล้วนปฏิบัติ​ตามกฎข้อนี้มาอย่างคงเส้นคงวา​ มาโดยตลอดเป็นเวลา​ 3 ล้านปีที่แล้ว”​ และทุกวันนี้พวกเขาก็ยังทำตามกฎข้อนี้กันอยู่ (เราขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ ชุมชนของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกนั่นเอง)​ ฉะนั้นมีมนุษย์​กลุ่มเดียวที่อิชมาเอลเรียกว่าผู้ถือครอง​ เมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้วเป็นต้นมา​ ที่พวกเขาเริ่มใช้ชีวิตเหยียดหยามกฎข้อนี้ในทุกๆ​ เรื่อง​ และยกเว้นมนุษย์ออกจากกฎนี้ไป​ “เพราะสำหรับผู้ถือครอง​ “โลกเป็นของมนุษย์”

อิชมาเอลเล่าต่อว่า​ วัฒนธรรม​ของผู้ถือครองทำอยู่​ 4 อย่างที่ผู้อื่นในชุมชนชีวิต “ไม่เคยทำ” และทั้งสี่อย่างนี้ก็เป็นรากฐานของอารยธรรม​ของผู้ถือครอง​ ได้แก่:

​1. กำจัดคู่แข่งของตน​ด้วยการฆ่าทิ้งเฉยๆ​ ในขณะที่สัตว์​อื่นๆ​ ไม่เคยไล่ล่าคู่แข่งเพียงแค่ฆ่าให้ตาย​ แต่จะฆ่าเพื่อกินเท่านั้น​ และสัตว์​อื่นก็ไม่เคยคิดจะกำจัดคู่แข่งของตนให้สูญพันธุ์​ไป​
2. ผู้ถือครองทำลายอาหารของคู่แข่งอย่างเป็นระบบ​ เพื่อให้มีทางเอาอาหารของตัวเอง​ เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในชุมชนธรรมชาติ​ กฎในชุมชนธรรมชาติ​ก็คือ​ “เอาเท่าที่จำเป็น​ และปล่อยสิ่งที่เหลือไว้”
3. ผู้ถือครองไม่ยอมให้คู่แข่งขันเข้าถึงแหล่งอาหารทั้งหมดในโลกนี้​ และนี่ก็เป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิต​อื่นๆ​ “ไม่ทำกันเลย”
4. ผู้ถือครองกักเก็บอาหารไว้ในยุ้งฉาง​ และกักตุนอาหารไว้ให้มีพร้อมกินตลอดเวลา​ แต่ทุกสิ่งมีชีวิตอื่นๆ​ ส่วนใหญ่จะเก็บอาหารไว้ในร่างกายเท่านั้น​ พอหิวก็แค่ออกไปหาอาหารมากินใหม่

เรื่องที่ว่าไปตะกี้มันก็คือ​ กฎขีดจำกัดของกฎการแข่งขัน (หรือ The law of limited competition ที่เอ่ยไว้ด้านบน) ในชุมชนชีวิต​ที่ว่า​ “คุณอาจจะแข่งขันอย่างสุดขีด​ แต่คุณไม่สามารถ​ไล่ล่าคู่แข่ง​ หรือทำลายอาหารของคู่แข่ง​ หรือปฏิเสธคู่แข่งไม่ให้เข้าถึงแหล่งอาหาร​ หรืออีกนัยหนึ่ง​ คุณอาจแข่งขันแต่ไม่ใช่​ ต้องลุกขึ้นทำสงครามต่อกัน” (จุดนี้เราขอให้ลองนึกถึงภาพที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมทั่วโลกในตอนนี้ดูว่า​ มันกำลังเกิดสิ่งนี้อยู่หรือเปล่า​กับทุกชีวิตอื่นที่นอกเหนือไปจากมนุษย์​ ลองนึกดูได้จากวิธีการปกครองของเหล่าผู้นำโลก​ จากวิธีการทำเกษตรทั่วโลก​ จากวิธีทำอุตสาหกรรม​ขนานใหญ่ทั่วโลก​ จากวิธีแบ่งแยกชนชั้นของหมู่ผู้ถือครอง​ เป็นต้น)

ความรู้พื้นฐานทางนิเวศวิทยาในชุมชนธรรมชาติ​ก็คือ​ ถ้ามีปริมาณอาหารเพิ่มขึ้น​ จำนวนประชากรก็จะเพิ่มขึ้นด้วย​ พอมีประชากรที่กินอาหารนั้นเยอะเกินไป​ อาหารก็จะลดน้อยลง​ เมื่อมีอาหารน้อยลง​ จำนวนประชากรก็จะลดลงด้วย​ ดังนั้นจำนวนอาหารและจำนวนผู้กินอาหารจะรักษาสมดุลของทุกสิ่งอย่างเอาไว้เสมอ

ลูกศิษย์​ของอิชมาเอลถามคำถามเดียวกันเลยกับที่เราคิดอยู่ในใจที่ว่า​ “ทำไมต้องเรียกแม่วัฒนธรรม​ซึ่งเหมือนเป็นการทำให้เพศหญิงเป็นตัวร้ายทางวัฒนธรรม​ อิชมาเอลบอกกลับมาว่า​ เธอไม่ถือว่าเป็นตัวร้าย แต่ในวัฒนธรรม​ของผู้ถือครองและวัฒนธร​รมของผู้ละทิ้ง​ มีแม่วัฒนธรรม​ที่บำรุงเลี้ยงสังคมนุษย์​และมีวิถีชีวิตในแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง​”

โดยในหมู่ผู้ละทิ้ง “แม่วัฒนธรรม​สอนว่าให้สงวนรักษาวิถีชีวิตที่สุขสมบูรณ์​ และค้ำจุนตนเองให้ได้คงอยู่ตลอดไป”​ ส่วนในหมู่ผู้ถือครองเธอสอนว่า “ให้สงวนวิถีชีวิตที่ได้รับการพิสูจน์​แล้วว่าอ่อนแอ และเอาแต่ทำลายตัวเอง​ หมายถึงว่า​ ถ้ามันยังไม่เจริญก้าวหน้าก็แค่ต้องทำทุกอย่างมากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ​ จนกว่าจะสมใจอยากแบบสุดๆ​ ไม่ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยการทำลายล้างโลกก็ตาม!”

สำหรับเรา (ผู้เขียนบทรีวิว) มีคำถามที่น่าสนใจจากเล่มนี้อยู่ว่า​ เรากลายมาเป็นผู้ที่สูญเสียความทรงจำทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของเราได้อย่างไรกัน? มันก็เป็นเพราะว่าบทเรียนทางประวัติศาสตร์​ที่เราศึกษากันมา​ มันมีอยู่เพียงเสี้ยวหนึ่ง​เท่านั้น ซึ่งไม่รวมเอาเรื่องราวของมนุษย์ในหมู่ผู้ละทิ้งที่ดำรงอยู่มาก่อนเป็น 3,000,000 ล้านปีเข้ามาด้วย​ แต่เราได้เรียนรู้กันเพียงช่วงเวลา 10,000-12,000 ปีที่แล้วมาโดยส่วนใหญ่ ที่มีมนุษย์เพียงบางกลุ่มได้เริ่มต้นทำเกษตรกรรม​ และเน้นสอนให้เราเข้าร่วมสรรเสริญ​ความมั่งคั่งของเหล่าผู้ถือครอง ที่ต่างก็เชื่อมั่นว่า “เป็นวิธีดำรงอยู่ที่ถูกต้องอยู่แบบเดียว​สำหรับทุนคนอื่น”​ เพราะทุกครั้งที่ผู้ถือครองเข้าไปทำลาย​วัฒนธรรม​ของผู้ละทิ้ง​ ภูมิปัญญาความรู้ดั้งเดิมที่สั่งสมมาและที่ถูกทดสอบอย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่กำเนิดมนุษยชาติ ก็สาบสูญไปจากโลกอย่างเอากลับคืนมาไม่ได้อีกเลย เพราะมีเหล่าผู้ถือครองขึ้นปกครองโลก​ เขาจึงเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์​ให้คนรุ่นอื่นได้ศึกษาต่อกัน​มาเรื่อยๆ แต่มันจำกัดอยู่ในมุมมองของผู้ถือครองเองเพียงฝ่ายเดียว!

แม่วัฒนธรรมสอนว่า​ “ก่อนการปฏิวัติ​เกษตรกรรม ชีวิตมนุษย์ไร้ความหมาย​ ดักดาน​ ว่างเปล่า​ ไร้ค่า​ ชีวิตก่อนการปฏิวัตินั้น​ น่ารังเกียจ”​ (เราจึงคิดอยู่ว่านี่คงเหตุผลที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมยุคนี้รู้สึกว่า​ ตัวเองสูงส่งกว่าผู้คนในอดีตที่อยู่ในป่า​ดง​ และไม่ทำเกษตร​มั้งนะ)​ ภาพในหัวของคุณคงชัดเจนดีอยู่แล้ว​ แม่วัฒนธรรม​ยังสอนให้เราอีกด้วยว่า​ “วิถีชีวิตของผู้ละทิ้ง​ ไม่น่าสรรเสริญ​ ต้องหยุดดำรงอยู่แบบนั้น​ และหันมาอยู่ในแบบผู้ที่เจริญ​แล้ว​ดีกว่า”​ โดยการพร่ำสอนไว้แต่เพียงว่า​ “ชีวิตในสังคมของชนล่าสัตว์​และเก็บของป่า มีชีวิตที่ทุกข์​ยากลำบาก​ /ทรหด​ /จนตรอก​ /น่าอดสู​ /ใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ /ต้องต่อสู่ดิ้นรนไม่หยุดหย่อน​เพื่อให้มีชีวิตรอด /มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย​ และอีก ฯลฯ​”

แต่ในความเป็นจริงแล้วสังคมของผู้ละทิ้งกลับตรงกันข้ามจากที่แม่วัฒนธรรม​กระซิบบอกเราไว้เป็นอย่างมาก​ เพราะสังคมของชนล่าสัตว์​และเก็บของป่าเป็นกลุ่มชนที่ไม่เคยต้องเผชิญกับความอดอยากเลย​ ทั้งๆ​ ที่ก็ไม่กักเก็บอาหาร​ และไม่ปลูกอาหารเหมือนสังคมชนเกษตร /เป็นกลุ่มคนที่มีเวลาว่างมากที่สุดในโลก​ /เป็นกลุ่มคนที่ทำงานน้อยมากที่สุดในโลก​ และที่สำคัญเป็นสังคมมนุษย์กลุ่มเดียวที่ดำรงอยู่มาอย่างเท่าเทียมกันในทุกๆ ด้าน และมีความมั่นคงโดยแท้​มาตลอดเวลากว่าสามล้านปี (นี่คือความเห็นเสริมจากเราเอง ติดต่อและคัดค้านได้ทุกเมื่อ)

โชคร้ายที่ชีวิตมนุษย์​ไม่ได้อยู่ในกำมือของพระเจ้าอีกต่อไป​ เพราะพอผู้ถือครองแหกกฎเหล็กของพระเจ้า​ได้ พวกเขาก็ไม่ต้องอยู่ใต้บารมีของพระเจ้าอีกต่อไป​ และทุกชีวิตอื่นๆ​ ก็อยู่ในกำมือของมนุษย์​กลุ่มผู้ถือครองแทน (โปรดสังเกตและเปรียบเทียบดูกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมยุคใหม่ตอนนี้ กับวิธีการปฏิบัติ​ตนต่อทุกชีวิตอื่นๆ​ ของมนุษย์บางกลุ่มในสังคมเราดูร่วมกันได้เลย)​

เหตุผลของการเกิดปฏิวัติเกษตรกรรมขึ้นครั้งแรกก็คือ​ “มนุษย์​ในหมู่ผู้ถือครองต้องการให้ชีวิตของตนอยู่ในมือของมนุษย์เอง​ ไม่ต้องอยู่ใต้โอวาทของพระเจ้าองค์ใด”

อิชมาเอลส่งท้ายให้ลูกศิษย์​ไว้ว่า “​มนุษย์มีหน้าที่ของตนเองอยู่ในโลกใบนี้​ แต่ไม่ใช่หน้าที่เป็นผู้ปกครองโลก​ หน้าที่ของมนุษย์คือการค้นหาความเป็นไปได้อื่นๆ​ วิถีชีวิตในแบบอื่นๆ​ ที่จะช่วยเหลือให้เราอยู่รอดพ้นต่อไปได้​ มนุษย์​ต้องการเห็นภาพของโลกและภาพของตัวเองที่เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขา​ ไม่ใช่เพียงแค่โดนดุด่า​ หรือทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่น”​ ฉะนั้น​ การหยุดมลภาวะไม่เป็นแรงบันดาลใจ​ การแยกขยะก็ไม่สร้างแรงบันดาลใจ​ การลดก๊าซฟลูออโรคาร์บอนก็ไม่สร้างแรงบันดาลใจ​

แต่​ถ้ามนุษย์คิดถึงตัวเองในรูปแบบใหม่​ คิดถึงโลกในแบบใหม่​ ได้ในแง่ที่ว่า​ โลกไม่ได้เป็นของมนุษย์​ แต่มนุษย์​เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกเท่านั้น​ และมนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าครองโลกอีกต่อไป​ ด้วยการมองเห็นความเป็นไปได้ของวิถีชีวิตแบบใหม่​ การโค่นระบอบนี้ก็จะเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา​ เพราะถ้าคุณต้องการมีชีวิตรอด​ แต่หมู่ผู้ละทิ้งกำลังจะหายสาบสูญ​ไป​แล้ว และก็มีแต่พวกเขาที่จะแสดงตนให้ผู้ทำลายโลกเห็นว่า​ “โลกนี้ไม่ได้มีทางที่ถูกต้องอยู่แค่ทางเดียวในการดำรงชีวิต” ตราบใดที่คนในวัฒนธรรม​ของคุณยังเชื่อว่าทั้งโลกเป็นของมนุษย์​ พวกเขาก็จะปฏิบัติต่อโลกตามเดิมที่เคยทำกันมาตั้งแต่หนึ่งหมื่นปีที่แล้วกันอยู่ต่อไป!

อิชมาเอลฝากบทเรียนไว้ให้พวกเราว่า​ “วิถีชีวิตของเหล่าผู้ละทิ้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์​และเก็บของป่า​เท่านั้น มันเกี่ยวข้องกับการปล่อยให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ​ ในชุมชนมีชีวิตได้อยู่สืบไป​ และในสังคมชนเกษตรเองก็สามารถ​ย้อนกลับมาทำสิ่งนี้ได้เช่นเดียวกันกับชนล่าสัตว์​และเก็บของป่ากันอีกครั้ง”

สิ่งที่สำคัญต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ​ “ไม่ใช่การกระจายอำนาจและความมั่งคั่งในคุก​ แต่มันเป็นการทำลายคุกมากกว่า​” การหยุดฟังเสียงกระซิบจากแม่วัฒนธรรม​ สามารถ​เกิดขึ้นได้ด้วยการหยุดฟังเธอเสีย​ และปฏิบัติ​ตนให้ต่างไปจากสิ่งที่เธอกระซิบบอกให้เราทำ​ และภารกิจพิทักษ์​โลกก็จะเริ่มต้นขึ้นในทันใด!

ถ้าคุณเชื่อว่า​ โลกไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสปีชีส์​ใดสปีซีส์เดียว​ และที่แน่ๆ​ คือมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้พิชิตและปกครองโลก​ หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าเรื่องตลกเช่นนี้มันได้จบลงไปแล้ว​ และราคงจะพร้อมรับฟังสิ่งใหม่​กันมากขึ้น ด้วยการกระทำตัวในแบบใหม่​ นั่นย่อมหมายความว่า “คุณกำลังหยุดเชื่อฟังแม่วัฒนธรรม​แล้วล่ะ!”

เราขอจบรีวิวไว้ตรงนี้​ (โปรดอ่านทั้งเล่มเอง)​ และหากสนใจแลกเปลี่ยนความเห็นหรือแชร์ความในใจต่อเล่มนี้ร่วมกัน ก็ส่งตรงถึงเราได้ที่อีเมล์นี้เลย: ([email protected]) เดี๋ยวมาสานต่ออีกกับเล่มหน้า ที่จะพาเราเจาะลึกเข้าไปในเรื่องราวของผู้ถือครองและผู้ละทิ้ง ที่ได้ส่งผลกระทบต่อโลกกันคะละแบบอย่างน่าใจหาย! พร้อมทั้งจะเป็นเล่มที่จะช่วยเปิดทางให้หมู่เรา ได้เฟ้นหาความหมายของการดำรงอยู่ของมนุษย์ร่วมกันอีกด้วย (ไว้เจอกันใหม่) ^.^

ปล. (การทำรีวิวหนังสือของเราไม่ใช่เพื่อการโฆษณาทางการค้า แต่เป็นเพียงความสนใจส่วนตัว ที่อยากจะแบ่งปันมุมมองของตนร่วมกับผู้คนที่สนใจแนวทางเดียวกัน เพื่อใช้เป็นงานอ้างอิงงานเขียน การศึกษาอิสระ หรือใช้ยกตัวอย่างในการถกเถียงเรื่องทางสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ และเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น!)