3 Min

ส่องเอเจนซียุคใหม่ ‘Birthmark’ กับแนวคิด ‘Pressure Free’ องค์กรไร้ความกดดัน และการให้ความสำคัญในความหลากหลาย

3 Min
3498 Views
29 Jun 2022

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแนวโน้มการทำงานในยุคดิจิทัล ต้องมีการเรียนรู้เทคโนโลยีและสิ่งใหม่ๆ เพื่อการปรับตัวในการทำงานให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทดิจิทัลเอเจนซี ที่ปัจจุบันพบว่าในแต่ละปีต่างก็มีบริษัทดิจิทัลเอเจนซีหน้าใหม่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ทำให้การแข่งขันในแวดวงนี้ มีความเข้มข้นกว่าอดีต และในหลายๆ บริษัทฯ ต่างมีนโยบายในการทำงานของพนักงานที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่สิ่งที่ไม่ค่อยต่างนั่นก็คือการทำงานแข่งกับเวลาซึ่งบางครั้งก็ทำให้คนทำงานอาจรู้สึกถึงความกดดัน และยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากทำงานในช่วงที่มีความ work load สูง

วันนี้ BrandThink จึงขอชวนมาส่องแนวคิดของ ‘Birthmark’ หนึ่งในดิจิทัลเอเจนซียุคใหม่ดีกรี Agency of the Year สาขา Best Culture เมื่อปี 2021 ของเอ็มปัณณทัต นาพูนผล และฟิวธิติวัจน์ เชื้ออาษา สองผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการ ‘Work-Life Balance’ รวมถึงสวัสดิการที่มีคุณภาพต่อพนักงานทุกคน 

เพราะแน่นอนว่าปัจจัยหลักๆ ที่เหมือนดัชนีชี้วัดให้ทุกคนได้ชั่งใจ ก่อนที่จะตอบรับข้อเสนองานหลังจากผ่านการสัมภาษณ์กับบริษัทนั้นๆ คงต้องมี 4 ปัจจัย ดังนี้ คือ เงินเดือน การทำงาน สวัสดิการ และวัฒนธรรมในองค์กร ล้วนแต่เป็นความต้องการพื้นฐานสำหรับพวกเราทั้งนั้น ทั้งยังเป็นการการันตีอีกว่า เราจะมีเงินที่สามารถใช้จับจ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ยากลำบาก

มาถึงยุคปัจจุบันในมุมมองสำหรับคนรุ่นใหม่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การทำงานที่ได้รับเงินเดือนสมเหตุสมผล และมีความ Work-Life Balance คือสิ่งที่ล้ำค่ากว่าหลายเท่า ซึ่งในความเป็นจริงชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ใช่ว่าในทุกบริษัทฯ จะสามารถทำงานแบบ Work-Life Balance ได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์

ซึ่งในปัจจุบันการทำงานหนักก็ยังมีให้เห็นกันอยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะเอเจนซีโฆษณาที่ยืนหนึ่งในเรื่องของการทำงานหนักกว่าชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานนอกเวลา เจอสงครามประสาทกับการประสานงานต่างๆ หรือแม้แต่การทำงานจนกินข้าวไม่เป็นเวลา เพราะมีงานด่วน งานเร่ง งานรีบ เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน แถมบางบริษัทฯ สวัสดิการที่ให้ก็น้อยนิด ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสรรพคุณที่ตราตรึงให้กับเอเจนซีโฆษณาทั้งนั้น

แต่ไม่ใช่กับ Birthmark Digital Agency ที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก เอ็ม ปัณณทัต เคยทำงานเป็น Account Executive (AE) ที่เอเจนซีโฆษณาแห่งหนึ่งมาก่อน โดยจากประสบการณ์แล้วเวลาออกไปขายงานก็ได้พบปะกับลูกค้าหลากหลายประเภท 

กระทั่งปิ๊งไอเดียว่าอยากได้ชื่อบริษัทที่มีความหมายในเชิงโตไปด้วยกัน เกิดมาพร้อมกับเรา เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันได้แบบไม่มีเส้นแบ่งเรื่องอายุ จึงมีต้นกำเนิดมาจากคำว่าปานที่มีติดตัวมาแต่เกิด หลังจากนั้นได้ชวน ฟิว ธิติวัจน์ มาเป็นหุ้นส่วน และในที่สุดจึงมาเป็น Birthmark อย่างทุกวันนี้

ความน่าสนใจของ Birthmark คือ ทั้งคู่มีมุมมองตรงกันว่า การที่ได้เห็นพนักงานทุกคนทำงานอย่างไม่มีความกดดัน มีส่วนช่วยให้การทำงานมีความลื่นไหล และมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะในงาน Agency นั้น การรับความกดดันจากความคาดหวังของลูกค้าก็หนักพอสมควรแล้ว ผู้ก่อตั้งทั้งสองคนจึงมีความคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าให้บรรยากาศในออฟฟิศเป็นเหมือน bunker ที่ช่วยลดความกดดันในการทำงานกับพนักงานทุกคน ด้วยการจัดสวัสดิการต่าง ๆ รวมไปถึงการทำสภาพแวดล้อมของการทำงานให้เหมาะสม

เนื่องจาก Birthmark เป็นดิจิทัลเอเจนซีที่เปิดกว้างมากในเรื่องของความหลากหลาย ไม่ได้จำกัดแค่เพศ แต่ยังรวมถึงอุปนิสัยของพนักงาน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการทำงานเป็นทีม อีกทั้งเคารพในความหลากหลายของกันและกันมากขึ้น สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นตัวเอง ตลอดจนทำงานได้อย่างเต็มที่ จนเป็นที่มาของคำว่า ‘Pressure Free’  องค์กรไร้ความกดดัน และการให้ความสำคัญกับความหลากหลาย

เรียกได้ว่าความหลากหลายของ Birthmark เป็นองค์ประกอบเล็กๆ ที่เข้าไปอยู่ในทุกความสำคัญของพนักงาน อาทิไม่ใช้คำนำหน้าชื่อในองค์กรเพราะการมีอยู่ของคำนำหน้าชื่อ ทำให้คนรู้สึกถูกจำกัดด้วยเพศสภาพและสถานะของคนในองค์กร บางคนอาจจะไม่สบายใจที่จะแสดงสถานะของตนเองออกมาก็ได้ 

นอกจากนี้ Birthmark ยังมี ‘Inclusive Benefit’ สวัสดิการที่มีการขยายขอบเขตให้กว้างมากขึ้น โดยทุกคนในองค์กรจะได้รับสิทธิ์และสวัสดิการเท่าๆ กัน อย่างสิทธิ์วันลาที่ไม่จำกัดเฉพาะชายหรือหญิง ไม่ว่าจะเป็นการคุมกำเนิด ลาบวช ลาคลอด เพราะผู้ก่อตั้งทั้งสองมองว่าเรื่องเหล่านี้สำหรับทุกเพศควรได้รับสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน 

รวมไปถึงยังมีสวัสดิการในเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทางในช่วงภาวะเงินเฟ้อ เป็นจำนวนเงิน 1,000 บาทต่อเดือน เช่น ค่าน้ำมัน ค่ารถไฟฟ้า ค่า Grab และในอนาคตอันใกล้นี้ก็อาจมีสวัสดิการเฉพาะกลุ่มเพศที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ผ้าอนามัยฟรี ลาแปลงเพศ ตามมาอีกด้วย

ทั้งนี้ในแต่ละองค์กรต่างก็มีรูปแบบการทำงานที่ง่ายและยากแตกต่างกันออกไป ซึ่ง Birthmark เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ของคนในองค์กรอย่างมาก ทำให้หลายคนอาจจะสงสัย ทั้งที่เป็นดิจิทัลเอเจนซีทำไมถึงสร้าง Work-Life Balance ได้

คำตอบคือ ในบริษัทฯ จะให้ความสำคัญเรื่องการวางแผนงาน  และกระบวนการทำงานเป็นอย่างมาก เพราะการวางแผนที่ไม่ดีก็อาจจะส่งผลให้งานล่าช้า และอาจส่งผลให้กระทบกับเวลาที่พนักงานจะต้องพักผ่อนทั้งในช่วงวันหยุด หรือหลังเลิกงาน 

อย่างไรก็ตาม ทั้ง เอ็ม ปัณณทัต และ ฟิว ธิติวัจน์ ล้วนอยากเห็นทุกองค์กรและทุกบริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของความหลากหลายกับพนักงานในองค์กรมากขึ้น เพราะพนักงานในองค์กรทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทขับเคลื่อนไปข้างหน้า และคาดหวังว่าที่ Birthmark ก็จะเป็นที่ทำงานที่ดีที่สุดของพนักงานทุกคน และเป็นบริษัท Pressure Free ของพนักงานทุกคนในองค์กรเช่นเดียวกัน